26.บันทึกธรรม
1. ปฏิบัติเมื่อผัสสะ
การศึกษาธรรมะในชั้นสัจธรรม ผัสสะ จะเป็นแหล่งสำคัญ แห่งการเกิดหรือการไม่เกิดทุกข์ หากเฝ้าระวังจุดนี้ให้ดี ไม่เผลอสติ ความทุกข์ก็โผล่ไม่ได้ หากปล่อยเผลอไผลไป โดยไม่ระมัดระวัง ความทุกข์ จะเกิดขึ้นได้
การปฏิบัติไตรสิกขา ขณะที่เกิดผัสสะ จึงเป็นการเปลี่ยนทาง จากเดินไปสู่ทุกข์ให้ไปสู่ความไม่ทุกข์
ผัสสะ แปลว่า สัมผัส เกิดจากกระบวนการทำงานร่วมกัน ของ อายตนะภายนอก( รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์) กระทบ อายตนะภายใน( ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) และวิญญาณ การรับรู้การกระทบ
เมื่อผัสสะแล้ว เวทนาจะตามา ตามภาษาบาลีว่า สัมผัสสชา เวทนา แปลว่า เวทนาที่เกิดมาจากผัสสะ
เวทนา คือ ความรู้สึกดี หรือไม่ดี หรือกลางๆที่ยังไม่แน่ว่า ดีหรือไม่ดี หากรู้สึกว่าดี จะเป็นที่มาแห่งความพอใจ หากรู้สึกไม่ดี เป็นที่มาแห่งความไม่พอใจ หากเป็นเวทนากลางๆยังไม่แน่นอน เป็นที่มาของ ความสับสน ไม่แน่ใจ วิตก กังวล
เวทนานี่เอง จะเป็นประตูไปสู่ ความเกิดทุกข์หรือไม่ทุกข์
เมื่อเวทนาเกิดแล้ว หากเพลินในเวทนา จะเกิดตัณหา และอุปาทานในเวทนานั้น จากนั้น ความทุกข์จะตามมา
เผลอใจ เพลิดเพิลนในเวทนาเมื่อไร ปลอ่ยใจให้เตลิดไหลไปสู่ ตัณหา อุปาทาน ความทุกข์จะเกิดขึ้นทุกข์ครั้ง เพราะตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความยึดมั่นในเวทนา เป็นความทุกข์
ไตรสิกขา เป็นธรรมะสำหรับป้องกันความทุกข์อีกชุดหนึ่ง ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
จะปฏิบัติไตรสิกขาเมื่อไร ปฏิบัติอะไรก่อนหลัง
เพื่อป้องกันมิให้ทุกข์เกิด ต้องปฏิบัติไตรสิกขาทันที ที่ผัสสะ และปฏิบัติพร้อมๆกันไป หากเราคิดถึงสิ่งของที่เป็นหนึ่งเดียว เราจะต้องคิดถึงทั้งหมด เวลาปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติทั้งหมด เปรียบเหมือนน้ำ ประกอบด้วย ไฮโดรเจน และ อ๊อซิเจน เวลาดื่มน้ำ ก็ดื่มพร้อมๆกันไป จะดื่ม ไฮโดรเจนและอ๊กซิเจน อย่างละครั้งคงไม่ได้
การปฏิบัติไตรสิกขาก็เช่นกัน จะต้องปฏิบัติไปพร้อมๆกันเพื่อสกัดกั้นมิให้ใจไหลเข้าสู่กระแสอุปาทาน อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
หากพิจารณาถึงความสำคัญของแต่ละองค์ประกอบ ก็จะพบว่า ปัญญา มีความสำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะทำ พูด หรือ คิด สิ่งใดๆ จะต้องรู้เสียก่อนว่า การปฏิบัติศีลมีผลต่อความไม่เกิดทุกข์อย่างไร การปฏิบัติสมาธิมีผลต่อการไม่เกิดทุกข์อย่างไร แล้วลงมือปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสม
นี่คือ การใช้ปัญญา นำในการเจริญไตรสิกขา
มาดูในทางปฏิบัติ
ศีล คือการรักษาปกติ ของกาย วาจา
สมาธิ คือ การรักษาใจ มิให้ไหวไปตามความพอใจในเวทนา ไม่ว่าสุขเวทนา ดี ทุกขเวทนา ไม่ดี อทุกขมสุขเวทนา สับสน วิตกกังวล
การทำสมาธิ คือ การพิจารณา ลงไปในความรู้สึก ดีหรือไม่ดี ในจุดเริ่มต้นของเวทนา ไม่ให้หลุดไหลไปสู่ ตัณหาอุปาทาน อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อใจไม่ไหลจนตัณหาอุปาทานครอบงำ ความทุกข์ก็ไม่เกิด
การตั้งจิตลงไปในความรู้สึก ณ จุดเริ่มต้นเวทนา ด้วยความบริสุทธิ์ มั่นคง ตื่นตัว เตรียมพร้อม เป็นเรื่องของสมาธิ
ส่วนความเข้าใจทันทีว่า เวทนาก็ไม่เที่ยง หาตัวตนไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วหายไป พิจารณาจนไม่เพลินในเวทนา วงจรความทุกข์จากเวทนานั้น ก็หยุดหมุน ความทุกข์ก็ไม่เกิด
การพิจารณาเพื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นจากเวทนาตามความจริง มิใช่คิด มิใช่จำ เป็นเรื่องของวิปัสนา ซึ่งเป็นเหตุแห่งปัญญา
อันปัญญานั้นจะเกิดขึ้นได้จากสามทางคือ
สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง
จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากความคิด
ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญา ที่เกิดจากความรู้สึกจริงๆ มิใช่คิด มิใช่คาดคะแน หรือจดจำแต่ประการใด แต่เป็นความรู้สึก
พลังแห่งปัญญาอย่างนี้ จะป้องกันเหตุแห่งทุกข์
กระบวนการเกิดทุกข์ และกระบวนการไม่เกิดทุกข์ นี้ในภาษาสัจธรรม มิใช่เรื่องของใคร ที่เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา แต่เป็นเรื่อง ของ อายตนะภายนอก( รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์) มากระทบ อายตนะภายใน ณ ประสาทสัมผัสที่เรียกว่า วิญญาณ(ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ทำงานร่วมกันเท่านั้น
ความทุกข์หรือไม่ทุกข์ มิใช่เป็นเรื่องของเธอ หรือของฉัน แต่เป็นเรื่อง ผัสสะ ในแต่ละครั้ง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ และสลายไป
เมื่อพิจารณาอยู่เฉพาะจุดที่ผัสสะแต่ละจุดไป แต่ละขณะไป ความเป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ก็ปรากฏชัด สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต เป็นเพียงกฎธรรมชาติที่ไหลเรื่อยเท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา หรือ เขา จึงไม่มีใครเสวยสุข หรือ เสวยทุกข์แต่ประการใด เพราะ สิ่งนั้นก็เป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วขณะแล้วสลายไป
เมื่อตัวตนยังไม่มี ความแก่ ความเจ็บ ความตายก้ไม่มี
สิ่งสมมติ ที่เรียกว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายนั้น ก็เป็นเพียงมายาที่ผ่านมาแล้วผ่านไปแค่นั้น สุดท้ายก็ต้องไปตามอำนาจของพระธรรมด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
เข้าใจอย่างนี้แล้ว ตั้งใจทำหน้าที่ในโลกสมมติให้ถูกต้อง ด้วยจิตใจที่สว่างไสว สงบร่มเย็นด้วยปัญญา
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple