วัดพุทธปัญญา

บทความ\20.ทะเลขี้ผึ้ง

20.ทะเลขี้ผึ้ง

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2550 ชาววัดพุทธปัญญา ได้เฉลิมฉลองวันวิสาขบูชากันอย่างสงบ ในตอนเช้า ท่านพระมหาทองรัตน์ รตนวณฺโณ ได้กรุณาบรรยายเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ให้พุทธศาสนิกชนได้ฟัง เพื่อเป็นการเสนอประเด็นที่เป็นแก่นสารในการเฉลิมฉลองวันสำคัญเช่นนี้

ที่กล่าวว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมสำคัญระดับแก่นเพราะ เป็นเรื่องชี้ขาดแห่งการเกิดหรือการไม่เกิดทุกข์ของมนุษย์ทีเดียว

หากมนุษย์พากันฉลาดเมื่อผัสสะ แปรอวิชชาให้เป็นสติปัญญาได้ทัน กิเลสอันเป็นเหตุก่อทุกข์ลื่นไหลไสลด์ไปเหมือนน้ำหยดลงบนใบบัว แล้วลื่นหลุดไป ไม่เกาะติด ไม่ซึมซับ

ท่านอาจารย์พุทธทาสได้กล่าวถึงเรื่องการระวังความทุกข์ไว้ว่า ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เรื่องผัสสะ ความทุกข์เกิดไม่ได้ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ

แต่ที่พากันเป็นทุกข์ ทุกครั้งที่ผัสสะ เพราะรับรู้สิ่งทั้งหลายแล้วไม่พิจารณา ดังท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวไว้ว่า ความทุกข์เกิดที่จิตเมื่อเห็นผิดเรื่องผัสสะ

เรื่องปฏิจจสมุปปบาทจึงเป็นเรื่องของการเกิดทุกข์และไม่เกิดทุกข์ อันเป็นการแสดงรายละเอียดของการเกิดทุกข์และไม่เกิดทุกข์ไว้อย่างเป็นกระบวนการ เรื่องนี้มีความสำคัญดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นเราทีเดียว

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ภาคบ่ายเป็นการสนทนาธรรมในข้อที่ว่า นิพพาน คือ จิตที่เหนือบวกเหนือลบ เหนือการปรุงแต่ง ดังที่ท่านอาจารย์ชา สุภัทโทกล่าวว่า นอกเหตุ เหนือผล จิตบริสุทธิ์หมดเหตุหมดเชื้อ

คนภาคใต้ในสมัยโบราณเวลาไกวเปลกล่อมลูกน้อยมักจะนำเอาปริศนาธรรมพื้นบ้านบทหนึ่งมากล่อมว่า ต้นมะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง จะถึงได้แต่ผู้พ้นบุญนา

ต่อมาท่านอาจารย์พุทธทาสได้นำเอา คติธรรมนี้มาสอนพุทธศาสนิกชนว่า เป็นการนำเอาความหมายของพระนิพพานมาแต่งเป็นเพลงกล่อมเด็กเพื่อจะให้เด็กได้ฟังเรื่องพระนิพพานตั้งแต่ยังอยู่ในเปล แสดงว่า คนไทยโบราณสมัยนั้นเข้าใจพระนิพพานและเห็นคุณค่าของพระนิพพานว่า เป็นความสงบเย็นแห่งชีวิต จึงแสวงหาพระนิพพานเพื่อให้พบความสงบเย็นแห่งชีวิต

ครั้นมีลูกมีหลาน พ่อแม่ต้องการให้ลูกหลานมีชีวิตเย็นจึงปลูกฝังให้ลูกหลานรู้จักพระนิพพานตั้งแต่อยู่ในแปล เป็นอารยธรรมที่แสดงถึงความสงบสุขอันมีมาอย่างยาวนานบนพื้นฐานของพระพุทธศาสนาที่มีสิ่งสูงสุดคือพระนิพพาน รองรับ

ท่านอาจารย์พุทธทาสได้สร้างสระนาฬิเกขึ้นสระหนึ่ง ท่านที่เคยเดินทางไปสวนโมกข์แล้วเดินชมวัดไปทางทิศใต้ของวัดจะพบสระขนาดใหญ่ น้ำใสเย็นเห็นตัวปลาแหวกว่าย มีเกาะเล็กๆ ปลูกมะพร้าวไว้บนเกาะนั้นต้นหนึ่ง เพื่อเป็นการแสดงบทธรรมบทนี้ให้ได้เห็นเป็นรูปธรรมโดยทั่วกัน

หากจะไขความปริศนาธรรมบทนี้ก็พอจะได้ความว่า ต้นมะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียว โนเน อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง หมายถึง พระนิพพาน คือความสงบเย็นเป็นอิสระจากไฟคือราคะ โทสะ และโมหะ สันติรสนี้มีเพียงรสเดียว เป็นสากลใครเข้าถึงจะพบสิ่งเดียวกันไม่จำกัดกาล เวลา และสถานที่

ข้อความที่ว่า ฝนตกก็ไม่ต้อง ฝนหมายความถึง อารมณ์ที่พึงปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ และโลกธรรมคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข

ข้อความที่ว่า ฟ้าร้องก็ไม่ถึง หมายความว่า อารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาและโลกธรรมฝ่ายลบคือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์

ฝนคือ อารมณ์ที่ชอบ

ฟ้าร้องคืออารมณ์ที่ชัง

ข้อความที่ว่าอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ก็คือ โลกธรรม ทั้งชอบและชังมิใช่สิ่งที่มั่นคง หากร้อนมากก็ละลาย เย็นมากก็จับเป็นก้อนเหมือนขี้ผึ้ง เป็นการแสดงถึงอารมรณ์ของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอยู่โดยทั่วไป

แต่สำหรับพระนิพพานแล้ว จะอยู่เหนือความแข็งและละลาย มีความมั่นคง ไม่มีอารมณ์ชอบหรือชังมาเผาลนหรือเขย่า ให้ร้อนให้แข็งให้หวั่นไหวได้อีกต่อไป ท่านจึงแสดงไว้ด้วยต้นมะพร้าวที่สูงขึ้นไป

คนที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ต้องไปให้พ้นทะเลขี้ผึ้ง คือชอบชัง

พระนิพพานจึงมีความหมายว่าอิสรภาพจากการกระทบกระทั่งและปรุงแต่งทั้งปวงดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราได้เข้าถึงสิ่งที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป คือถึงพระนิพพาน

พวกเราจึงร่วมกันฉลองวันวิสาขบูชาเพื่อเข้าถึงพระธรรมตามสติกำลัง เพื่อเป็นสะพานไปเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์จริง ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา

นั่นเอง

 

© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple