16.จักรยานใจ
ั้ สมัยที่ท่านอาจารย์พุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ ฉันได้เดินทางไปกราบท่านที่สวนโมกข์ปีละหลายๆครั้ง แต่ละครั้งได้รับของดี ติดอกติดใจกลับมาเสมอ สวนโมกข์ เป็นแหล่งธรรมที่ใครๆไปสวนโมกข์ก็ไปแสวงธรรม เพราะท่านอาจารย์พุทธทาส จัดกระบวนการเรียนการสอนพุทธศาสนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติ หากจะจับสิ่งใดขึ้นมาสักอย่างไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบไม้ แม้แต่หญ้าเส้นหนึ่ง ก็กลายเป็นอุปกรณ์การศึกษาธรรมะได้ในทันที
ท่านอาจารย์พุทธทาสเองจะสอนธรรมะทั้งที่เป็นรูปแบบ และไร้รูปแบบ การสอนธรรมะที่เป็นรูปแบบจะสอนโดยวิธีแสดงพระธรรมเทศนาที่ถูกต้องตามระเบียบประเพณีแห่งการแสดงพระธรรมเทศนาที่มีมาแต่โบราณทุกประการ
ส่วนการแสดงธรรมที่ไร้รูปแบบนั้น มาจากการสนทนาธรรมกับพระสงฆ์สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่มากราบเพื่อสนทนาหรือมากราบเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองในฐานะที่เป็นพระสงฆ์ผู้ทรงศีล ทรงธรรมนำคนเข้าหาธรรม ไม่ว่าจะมากราบท่านแบบไหน ท่านจะต้องให้ธรรมะตามสมควรแก่ฐานะและอัธยาศัย ไม่กลับบ้านด้วยสมองอันว่างเปล่า
แต่ละปี ฉันเอง หลังจากสอบบาลีเสร็จ หรือหมาวิทยาลัยปิดภาคเรียน จะต้องเดินทางไปสวนโมกข์และพักอยู่หนึ่งหรือสองอาทิตย์เป็นประจำเพื่อ เพิ่มพูนพลังงานและพลังใจในที่อันสงบร่มเย็นเช่นนั้นดั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยินดีในเสนาสนะอันสงัด
เมื่อเสร็จภารกิจประจำปีแล้วได้พักสักระยะหนึ่ง จะสั้นหรือยาว ล้วนทำให้ชีวิตสดชื่นทั้งกายและใจ เพื่อกลับมาทำภารกิจต่อไป การไปพักเช่นนี้แหละ มีโอกาสร่วมกิจกรรมของสวนโมกข์ครบทุกกิกจรรม คือต้องตื่นนอนมาฟังเสียงระฆังปลุกตั้งแต่ตีสามกว่า พอตีสี่ก็มาพร้อมกันที่ลานหินโค้งเพื่อ ทำวัตร สวดมนต์แปลจนถึงตีห้า เป็นเวลาแห่งการภาวนาจนกระทั่งสว่าง เตรียมตัวออกไปบิณฑบาต กลับมาฉันภัตตาหารร่วมกันที่ศาลาฉัน แล้วแยกย้ายกันไปทำภารกิจต่างๆตามถนัด โดยไม่มีการสั่งการหรือบังคับบัญชาแต่ประการใด ชอบงานไหนก็ไปงานนั้น
ฉันไปเยี่ยมสวนโมกข์ในช่วงเวลาสั้นๆ ทุกวันเมื่อฉันภัตตาหารแล้ว มักจะถือโอกาส มานั่งอยู่ใกล้ๆที่พักท่านอาจารย์พุทธทาสเพื่อคอยเก็บสิ่งที่ท่านสนทนากับแขกที่มาเยือนล้วนเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์จริงๆทั้งสิ้น
วันหนึ่งเมื่อฉันภัตตาหารแล้ว ผู้เขียนได้นั่งอยู่ใกล้ๆที่นั่งที่ท่านอาจารย์นั่งเป็นประจำ คือบนม้าหินใต้ต้นกระท้อนใหญ่ มีชายหนุ่มคนหนึ่ง จากการสนทนาทราบว่า เป็นนักเรียนอังกฤษ เพิ่งจบมาใหม่ๆ ได้อ่านงานของท่านอาจารย์พุทธทาส ที่ญาติมิตรซื้อไปให้ เมื่อกลับเมืองไทยพักผ่อนระยะหนึ่งแล้วก็มากราบท่านอาจารย์พุทธทาสทันที
ได้สนทนากับท่านอาจารย์พุทธทาสด้วยเรื่อง การเจริญสมาธิ โดยกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า จะปฏิบัติสมาธิอย่างไรถึงจะได้ผลดี
ท่านอาจารย์พุทธทาสฟังคำถามแล้ว จะไม่ตอบทันที นั่งนิ่งสักระยะหนึ่งแล้วหัวเราะฮึๆตามแบบที่เคยได้ยินในซีดีหรือเทปคำบรรยายนั้นแหละ แล้วท่านก็พูดว่า ทุกคนมีสมาธิตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ตัว บางคนสมาธิมากบางคนสมาธิน้อย แตกต่างกันออกไป คนที่สมาธิค่อนข้างดีตามธรรมชาติก็ฝึกวิปัสสนาได้เลย ส่วนผู้ที่ยังไม่มีสมาธิดีพอก็ต้องฝึกให้เพียงพอ
ชายหนุ่มคนนั้นจึงถามว่า จะฝึกภาวนาอย่างไรให้ได้รับความสงบเร็วๆ
ท่านอาจารย์พุทธทาสตอบว่า จะบังคับให้เร็วหรือช้าบังคับไม่ได้ แต่ถ้าฝึกถูกวิธีก็เป็นสมาธิแน่ ท่านเปรียบเทียบให้ฟังว่า การฝึกสมาธิภาวนา เหมือนกับการฝึกจักรยานนั้นแหละ เวลาเริ่มฝึกก็ไม่รู้ว่า จะถีบจักรยานเป็นเมื่อไร ตอนที่ถีบจักรยานได้ ก็จำไม่ได้ว่าถีบจักยานเป็นตอนไหน เพราะเมื่อฝึกความสมดุลได้ ลงตัวก็จะถีบจักยานไปเอง
เมื่อฝึกสมาธิให้มาก เพิ่มความเชี่ยวชาญมากขึ้นจนกระทั่งว่า เวลามีปัญต่างๆอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทำสติภาวนาเพียงหายใจครั้งเดียวสาเหตุแห่งทุกข์กระเด็นออกไปเลย ความทุกข์ก็ไม่เกิด
ท่านเปรียบเทียบความเก่งกล้าของการภานาเหมือนการขี่จักรยานปล่อยมือได้เพราะมีความชำนาญในการขี่ที่วางน้ำหนักและความเร็วได้ดุลยภาพ บรรทุกสิ่งของได้ วิ่งไปได้เร็ว โดยไม่ล้ม
การลงมือฝึกสมาธิภาวนาก็เช่นเดียวกับจักรยานเพราะประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญสามประการคือ
การฝึกสมาธิภาวนา เพื่อให้จิตสงบก็เช่นกัน มีเป้าหมายอยู่ที่จิตสงบ มีกลักในการฝึกเช่นฝึกอานาปานสติ หรือสติปัฎฐาน และเมื่อฝึกไปจนชำนาญ จิตก็เข้าถึงความสงบได้รวดเร็วตามที่ปรารถนา และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้เหลือคณานับ เพราะไม่ว่าจะทำ จะพูด จะคิด หรือประกอบกิจการใดๆต้องใช้จิตที่เป็นสมาธิในการนำทั้งสิ้น ตามคติไทยที่พูดกันมาจนคล่องปากว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อนายมีความสามารถสูงก็สามารถนำบ่าวไปทำงานต่างๆได้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพ
การฝึกจิตจึงต้องการฝึกไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความชำนาญขึ้นตามลำดับจนสามารถจะรู้ได้ว่าจิตเข้าถึงสมาธิแล้วหรือยัง ดังที่ผู้ฝึกสมาธิภาวนาสามารถสังเกตได้ถึงลัษณะของจิตที่เป็นสมาธิได้ว่า
เมื่อฝึกใจจนได้สัมผัสสภาวธรรมเหล่านี้ ก็จะเป็นผู้มีสติรวดเร็วสะกดัอารมณ์ที่จะมาปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ได้ทันท่วงที มีความสุขได้ง่าย จิตใจสัมผัสความว่าง โล่งโปร่งเบาสบายไร้กังขาในธรรม เข้าใจชีวิตและสิ่งรอบตัวได้ดีขึ้นจนสามารถบอกได้ว่า จะจัดการสิ่งต่างๆอย่างไรให้ชีวิตนี้ไม่มีความทุกข์เกาะกุมรุมเร้า ได้พบกับอิสรภาพ อย่างแท้จริง สว่างไสว โปร่งใสสดชื่นอยู่ตลอดเวลา
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple