13.ความพอดี
ั้ พระพุทธเจ้าเริ่มต้นสั่งสอนธรรมเรื่องความพอดี ซึ่งหมายถึงการกระทำการพูด หรือการคิดที่สำเร็จประโยชน์ครบถว้น ตามเหตุปัจจัยที่จำเป็น ของแต่ละเรื่อง ของแต่ละบุคคลหรือแต่ละสถานการณ์ เปรียบเหมือนการสวมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่พอดีสำหรับแต่ละคน ผู้ใหญ่ก็ต้องใช้เสื้อผ้าขนาดหนึ่ง ถึงจะพอดี เด็กๆก็จะต้องใช้เสื้อผ้าอีกขนาดหนึ่งถึงจะพอดี
การรับประทานอาหารทุกวัน แต่ละคนที่รับประทานอาหาร ก็จะรู้ตัวเองว่า จุดพอดีอยู่ตรงไหน คือรับประทานแล้ว ไม่หิวเกินไป จนอ่อนเพลีย ไม่อิ่มเกินไปจนเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความยากลำบาก แต่รับประทานแล้วรู้สึกได้ถึงการรับพลังกายที่พร้อมจะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างสะดวก
พระพุทธเจ้าสอนให้พระสงฆ์ใช้สอยปัจจัยสี่แบบพอดี อย่างมีจุดหมายชัดเจน เช่น ก็ทรงชี้จุดประสงค์ไว้ว่า เพื่อกันร้อน กันหนาว กันเหลือบ กันยุง กันริ้น กันไร กันหนาว กันร้อน และปกปิดอวัยวะที่ก่อให้เกิดความละอาย หากพระสงฆ์ใช้สอยจีวรตรงตามจุดประสงค์นี้ครบถ้วนก็ถือว่า ได้ใช้ผ้าจีวรอย่างพอดี คือสำเร็จประโยชน์ของการมีผ้าจีวร
สำหรับผู้ครองเรือนจะประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมกับบุคคล สถานที่หน้าที่การงาน ว่า มีความจำเป็นต้องนุ่งห่มอย่างไร การนุ่งห่มในสถานการณ์นั้นๆมีจุดมุ่งหมายอย่างไร เมื่อเข้าถึงจุดประสงค์ของการนุ่งห่มนั้นได้ครบถว้นก็ถือว่าพอดี
พระพุทธเจ้าสอนให้พระสงฆ์ฉันภัตตาหารอย่างระมัดระวังตั้งใจ ไม่ประมาท มิได้ฉันภัตตาหารเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ไม่ใช่ฉันภัตตาหารเพื่อเพิ่มพลังกาย มิใช่ฉันภัตตาหารเพื่อประดับตกแต่ง ฉันเพียงเพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้
บทสุดท้ายพระพุทธเจ้ายังวางมาตรฐานในการตรวจสอบผลการฉันภัตตาหารว่า เมื่อฉันอาหารนั้นๆเข้าไปแล้ว สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่มีโทษและอยู่อย่างผาสุกคือไม่หิวเกินไปและไม่อึดอัด
ด้วยเหตุนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงทรงห้ามพระสงฆ์มิให้เสพสิ่งที่มีพิษมีภัยเข้าสู่ร่างกายทุกชนิด เพื่อไม่ทำให้ร่างกายเป็นพิษเป็นโทษไปด้วย อนึ่งหลักการรับประทานอาหารพระพุทธเจ้าวางหลักไว้ว่า ฉันอาหารน้อย ย่อยง่าย โรคน้อย อายุยืน เมื่อพระสงฆ์ฉันภัตตาหารบนหลักการเหล่านี้ ย่อมเป็นการฉันอาหารอย่างพอดี สำเร็จประโยชน์
ที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์แต่อดีตมักจะมีเพียง โคนต้นไม้ที่อาศัยหลับนอนให้ผ่านพ้นไปแต่ละคืนเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและทำความเพียรต่อไป ต่อมาเมื่อทายกทายิกาขวนขวายถวายเสนาสนะแก่พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสถึงการใช้สอยเสนาสนะเอาไว้ว่า เพื่อกันร้อน กันหนาว กันเหลือบ กันยุง กันริ้น กันไร เป็นที่หลักเร้นสำหรับการบำเพ็ญภาวนา
หากพระสงฆ์ทั้งหลายใช้เสนาสนะเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การบำเพ็ญภาวนาแล้วละก็ ไม่จำเป็นต้องมีเสนาสนะที่ใหญ่โตมโหฬารแต่อย่างใด มีเพียงตอบสนองจุดประสงค์ดังกล่าวก็กล่าวได้ว่าพอดีได้เช่นกัน
เรื่องยารักษาโรคก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ใช้เพื่อบำบัดความป่วยไข้เท่านั้น ไม่มีจุดประสงค์อย่างอื่น หากไม่ป่วยไม่ไข้ก็ไม่ต้องฉันยาแต่อย่างใด การฉันยาก็เพื่อตอบสนองจุดประสงค์แห่งการขจัดโรคเท่านั้น ไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกเหนือไปจากนั้น
หลักการเหล่านี้คือ หลักการแห่งความพอดี ที่ใช้สอยทรัพยากรตามความจำเป็นจนสำเร็จประโยชน์ทุกประการ จะใช้สอยสิ่งใด ก็ใช้สอยด้วย สติมนสิการ เสียก่อนว่า มีความจำเป็นแค่ไหน คุ้มค่าแค่ไหน หากพิจารณาแล้วไม่จำเป็นไม่คุ้มค่า ก็ดูรู้และปล่อยผ่านไป
หากชีวิตของแต่ละคนดำรงอยู่ด้วยปัจจัยแก่การดำรงชีวิตกันตรงๆ โลกทั้งโลกก็จะมีทรัพยากรอีกมากมายที่จะแบ่งปันกันยังชีพ ไม่ต้องแข่งขันช่วงชิงกันให้บาดเจ็บล้มตายเกิดสงครามไปทุกหย่อมหญ้าอย่างนี้ เพราะสุดท้ายทำลายทรัพยากรมาได้เท่าไร ก็อยู่บนโลกนี้ทั้งสิ้น เวลาตายแม้ร่างของตนเขายังต้องหามไปหาที่เผาและที่ฝังดังบทกวีหน้าเตาเผาในวัดแห่งหนึ่งเขียนไว้ว่า
ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ คงเหลือแต่ต้นทุนบุญกุศล
ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน ร่างของตนเอขายังเอาไปเผาไฟ
ความพอดีประจักษ์ได้ด้วยปัญญา มิใช่ใครคนใดคนหนึ่งจะไปตัดสินให้ ค้นพบเมื่อไรสบายจริงเอย
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple