12.กิเลส
ั้ สหายธรรมหลายท่านได้ ฝากถามปัญหาเข้ามาที่ลานธรรมวัดพุทธปัญญาว่า กิเลส คืออะไร อยากทราบความหมายและคำอธิบายชัดๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมต่อไป
ประธานลานธรรมรับคำถามมาแล้ว มีความยินดีที่จะตอบสู่กันฟังว่า
คำว่า กิเลส แปลตามรากศัพท์ว่า ความเศร้าหมอง ความไม่ผ่องใส ความขุ่นมัวทางใจ
กิเลส เกิดจากการกระทบอารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เวลาเผลอสติ เมื่ออารมณ์ต่างๆซึ่งสรุปลงแล้วเหลือสามอย่างคือ น่าชัง น่ารัก เฉยๆ เข้ามากระทบแล้ว หากใจรับรู้แล้วเก็บ ความชอบชังนั้นจะแปรสภาพเป็นกิเลส หากกระทบแล้วไม่ชอบไม่ชังเพราะมีสติรู้ทัน ปล่อยความรู้สึกนั้นผ่านไป ใจไม่กักเก็บความรู้สึกนั้นมาไว้ใจก็ไม่เศร้าหมอง
แต่ถ้าใจเก็บความรู้สึกชอบชังนั้นเข้าไว้ แล้วคิดซ้ำๆไม่ยอมปล่อยวาง ความเศร้าหมองก็จะเพิ่มขึ้น หรือ ถ้าปรุงแต่งจากอารมณ์ที่เข้ามาหมักหมมอยู่ในใจนั้น ความเศร้าหมองจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เป็นการเพิ่มที่เจ้าของไม่รู้ตัว บางทีกว่าจะรู้ตัว กิเลสก็เกาะเต็มใจไปเสียแล้ว ทั้งยังมีรูรั่วปล่อยกิเลสใหม่ๆให้ไหลเข้ามาสะสมอยู่อีกเป็นภูเขาเลากาในเวลาไม่นาน
ชาวพุทธผู้ปฏิบัติธรรม มักจะถามว่า เมื่อไรกิเลสจะหมดเสียที
คำตอบก็คือ เมื่อความเผลอสติหมดไปอย่างราบคาบ กิเลสก็จะหมดตามไปด้วย เพราะใจที่มีสติสมบูรณ์ที่สุดอย่างพระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั้น ท่านชำระกิเลสเก่าได้หมด ทั้งไม่มีรูรั่วที่จะปล่อยกิเลสใหม่เข้าสู่ใจได้
เมื่อหมดกิเลสแล้วจะเหลืออะไร เป็นคำถามที่ชาวพุทธผู้ใฝ่ธรรมทั่วไปมักจะถามกันบ่อยๆอีกคำถามหนึ่ง
คำตอบก็คือ ธรรมะทั้งปวง มีสติ คือ ความไม่เผลอ เป็นประธาน มีสัมปชัญญะ สมาธิ และเป็นปัญญา เป็นเสาหลัก ประจำในชีวิตจิตใจ แปรสภาพจากชีวิตธรรมดา เป็นธรรมชีวี ที่ประกอบไปด้วยธรรมะ
พระพุทธเจ้าทรงประทานธรรมะ เรื่อง อย่าเผลอนี้ แก่เพื่อนมนุษย์ไว้ใช้ป้องกันกิเลสมิให้รบกวนใจ เพื่อจะได้อยู่อย่างสงบ เพราะความไม่เผลอจะทำหน้าที่ปิดช่องทางเข้าของกิเลสและความชั่วของชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำว่า ไม่เผลอ มาจากภาษาธรรมะ ว่า ไม่ประมาท ตรงกับปัจฉิมโอวาท ที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ก่อนปรินิพพานว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า
การเจริญสติ นอกจากจะเป็นการระวังรักษาใจไม่ให้กิเลสเข้ารบกวนใจได้ ยังเป็นการธำรงรักษาพระพุทธศาสนาตรงหัวใจ เป็นการรับมรดกธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้อย่างเกิดประโยชน์แก่ชีวิตอย่างแท้จริงอีกด้วย
© วัดพุทธปัญญา -แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา :: © Copyright 2008 Buddhapanya Temple