แนวทางปฏิรูปการเลือกตั้งที่ยังไม่ตกผลึก
ปัจจุบันนี้กระแสการเรียกร้องเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยในด้านต่างๆ กำลังไหลเชี่ยวกรากประดุจน้ำป่าที่ไหลบ่ามาด้วยพลังแรง แผ่ขยายกระจายออกไปทั่วประเทศไทยอย่างรวดเร็ว
ประเด็นการปฏิรูปประเทศไทยนับว่า เป็นจุดร่วมที่สำคัญของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทยอย่างขนานใหญ่ในทุกด้าน
ระบบการเลือกตั้งเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งฝ่ายนิติบัญญัติและบริหารถือว่า เป็นต้นธารแห่งรัฐกิจทั้งปวง ระบบการเลือกตั้งจึงควรได้รับการออกแบบอย่างเหมาะ
สม เพื่อจะได้กลั่นกรองบุคคลากรที่ดี มีคุณภาพ มีคุณธรรม เข้ามาทำหน้าที่ออกกฎหมายและวางนโยบายบริหารประเทศเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนทั่วทุกถิ่นไทย
ปัญหาของระบบการเลือกตั้งที่เคยใช้กันมาในการเลือกตั้งทั่วไปคือ ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มิได้สะท้อนถึงความเป็นตัวแทนของผู้ออกเสียงลงคะแนนอย่างแท้จริง ตามชื่อที่เรียกว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่มักจะกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่อาชีพ เช่น นักกฎ
หมาย นักธุรกิจ ข้าราชการเกษียณ เป็นต้น
หากมองผ่านกลุ่มรายได้ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่มีรายได้สูง ในขณะที่ประชาชนผู้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะทำหน้าที่แทนพวกเขามีรายได้ต่ำ
ประชากรส่วนใหญ่ในบางจังหวัดมีอาชีพทำนา ทำสวน และ การเกษตรต่างๆ เพียงเพื่อการยังชีพ แต่เมื่อมีการเลือกตั้ง ไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็นชาวไร่ ชาวนา หรือ ชาวสวนอันเป็นคนส่วนใหญ่ของจังหวัดนั้นๆ เลยแม้แต่คนเดียว กลับมีแต่นักกฎหมาย นักธุรกิจ หรือ ข้าราชการบำนาญ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของจังหวัดนั้นๆ หรือ ของประเทศ แต่กลับมีตัวแทนของผู้มั่งคั่งเหล่านี้เข้าไปอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรและทำหน้าที่ฝ่ายบริหารเสียเป็นส่วนใหญ่ตลอดมา
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จึงเป็นตัวแทนของคนส่วนน้อยของประเทศ เป็นผู้แทนที่ไม่ใช่ตัวแทนของคนส่วนใหญ่ที่แท้จริง จะเห็นได้ว่า เวลาแจ้งทรัพย์สิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางจังหวัดมีเงินสดในบัญชีเป็นพันๆ ล้าน แต่ประชาชนผู้เลือกตั้งเขาหรือเธอคนนั้นมีรายได้ทั้งปีรวมกันแล้ว ไม่ถึงสามหมื่นบาท
ถ้าช่องว่างทางเศรษฐกิจห่างกันอย่างนี้ จะเรียกว่า เป็นตัวแทนกันได้อย่างไร สภาไทยเราจึงมีแต่ตัวแทนจอมปลอม ตัวแทนเหล่านี้จึงไม่เข้าใจปัญหาของคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อออกนโยบายแก้ปัญหาออกไป จึงมักจะล้มเหลวมาตลอด เพราะเมื่อมิได้เป็นตัวแทนที่แท้จริง จึงไม่มีวันเข้าใจปัญหาต่างๆ อย่างลึกซึ้ง เพราะไม่เคยสัมผัสจากชีวิตจริง
จุดประสงค์ของการปฏิรูปวิธีการเลือกตั้ง เพื่อเป็นกระบวนการคัดเลือกตัวแทนที่แท้จริงของคนอาชีพต่างๆ เข้ามาทำหน้าที่นิติบัญญัติและบริหาร เพื่อจะได้สะท้อนปัญหาและหาทางออกกฎหมายและวางนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาที่ตรงประเด็น เพราะได้ตัว
แทนที่คลุกคลีอยู่กับปัญหา รู้และเข้าใจปัญหาโดยตรงมาเป็นผู้ออกกฎหมายและกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหา
มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามสาขาอาชีพนั้นจะทำได้อย่างไร เพราะปวงชนชาวไทยมีอาชีพมากมาย
วิธีการจัดการเลือกตั้งแบบตัวแทนของอาชีพจะทำได้ไม่ยาก ฝ่ายทะเบียนราษฎร์ ต้องระบุไว้ในบัตรประชาชนว่า อาชีพอะไร คล้ายๆ ที่ระบุว่านับถือศาสนาอะไรนั้นแหละ จะได้มีอาชีพปรากฏอยู่ในบัตรประชาชนทันที
เวลาเลือกตั้ง ฝ่ายทะเบียนราษฎร์ก็เป็นผู้สำรวจและจัดทำหมวดหมู่ออกมาเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด หรือประเทศ การจะจัดอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความสะดวก ว่า จะจัดเฉพาะอาชีหลักๆ เช่น อาชีพเกษตรกร ค้าขาย นักธุรกิจ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครู เป็นต้น หากลงในรายละเอียด อาจจะเจาะลงไปว่า อาชีพทำสวนลำใย สวนปาล์ม สวนยางพารา สวนลิ้นจี่ ทำนา หรือ ทำไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง เป็นต้น
วิธีการแบบนี้ข้าราชการฝ่ายปฏิบัติการมีความสามารถอยู่แล้ว มั่นใจว่าทำได้ไม่ยาก
ขั้นต่อมาก็รวบรวมประชากรแต่ละอาชีพเข้าด้วยกันจนครบถ้วนตามที่กฎหมายต้องการ หรือ อาจจะสำรวจและจัดหมวดหมู่เฉพาะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ก็ได้ จากนั้นคำนวนดูว่า ประชากรที่จะมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งมีเท่าไร นำเอาจำนวนนั้นมาตั้งคิดค่าเท่ากับ 100% แล้วหาค่าเฉลี่ยอาชีพของแต่ละอาชีพออกมาว่า มีกี่เปอร์
เซ็นต์ จำนวนเปอร์เซ็นต์นี่เองจะนำไปเป็นค่าเฉลี่ยของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมมติให้เห็นชัดๆ ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เลือกมาจากสาขาอาชีพรวม 500 คน คิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์
นักธุรกิจของประชากรไทยมีทั้งหมด 1% จะมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 5 ที่นั่ง
ตำรวจมี 2 % ของประชากรไทยทั้งหมด ตำรวจจะมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 10 ที่นั่ง
นักกฎหมายมี 3 % ของประชากรไทยทั้งหมด นักกฎหมายจะมีที่นั่งในสภาผู้แทนราฎร 15 ที่นั่ง เกษตรกรมี 40 % ของประชากรไทยทั้งหมด เกษตรกรจะมีที่นั่งทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎร 200 ที่นั่ง นักแสดง มี 1 %ของประชากรทั้งหมด นักแสดงจะมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 5 ที่นั่ง
นี่เป็นเพียงสมมติตุ๊กตาให้เห็นกันชัดๆ ว่า จะจัดหมวดหมู่และคิดสัดส่วนอย่างง่ายๆ เวลาเลือกตั้ง ใครอาชีพใด ก็ไปเลือกผู้สมัครที่มาจากอาชีพนั้นเท่านั้น อาชีพอื่นจะมาสมัครรับเลือกตั้งให้ผู้เลือกตั้งจากอาชีพอื่นเลือกไม่ได้ เช่น ทนายความจะมาสมัครรับเลือกตั้งให้ชาวนาเลือกไม่ได้ ทหนายความต้องไปลงสมัครรับเลือกตั้งในกลุ่มนักฎหมาย ซึ่งอาจจะรวมผู้พิพากษาและอัยการเข้าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน หรือนักธุรกิจจะลงสมัครรับเลือกตั้งในกลุ่มชาวนา เพื่อให้ชาวนาเลือกไปเป็นผู้แทนของชาวนาไม่ได้ ต้องไปลงสมัครในกลุ่มธุรกิจเท่านั้น
การจัดการเลือกตั้ง จะจัดการเลือกตั้งใหญ่พร้อมๆ กัน หรือ จะเลือกมาก่อนให้เป็น
ไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสามารถพิจารณาหาวันเวลาที่เหมาะสมบริสุทธิ์ยุติธรรมได้
การหาเสียงของผู้รับสมัครเลือกตั้ง ให้รัฐจัดสื่อต่างๆ ให้ตามที่เห็นสมควรอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน เพื่อปกป้องนายทุนเข้าไปออกค่าใช้จ่ายแล้วค่อยใช้สอยเรียกทุนคืนทีหลัง หากรัฐช่วยได้ก็จะขจัดระบบอุปถัมภ์จากนายทุนออกไปได้ ผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งทุกคนล้วนเป็นนักการเมืองแห่งชาติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่สังกัดนายทุนคนไหน มีอิสระในการดำเนินการทางการเมืองด้วยสติปัญญาอย่างสุดความสามารถ
นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งจากสาขาอาชีพนี้ ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง เพราะเป็นตัวแทนของประชาชนโดยตรง เพียงแต่แสดงเจตจำนงว่า จะสมัครเป็นสมาชิก
สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้อาสาเข้ามาทำงานเพื่อชาติ โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม แล้วถ้ายังมีพฤติกรรมซื้อเสียง ต้องห้ามลงสมัครตลอดชีวิต เพราะต้องการคนที่ซื่อสัตย์สุจริตจริงๆ มาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบนี้ จะสะท้อนความเป็นตัวแทนของปวงชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ตรง ตามชื่อที่เรียกขานว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริง มิใช่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปลอมๆ ดั่งที่เป็นมาในอดีต ที่เป็นอยู่ขณะนี้ และจะมีต่อไปอีกในอนาคต ถ้ายังไม่ได้ปฏิรูประบบการเลือกตั้งเพื่อกลั่นกรองตัวแทนของปวงชนที่แท้จริง
ต้องยกเลิกการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อทั้งหมด เพราะสมาชิกสภาผู้แทนระบบัญชีรายชื่อไม่ได้สะท้อนความเป็นตัวแทนของประชาชนที่แท้จริง แต่เท่าที่ผ่านมาสมาชิกสภาผู้แทนบัญชีรายชื่อ คือแหล่งที่อยู่ของ ผู้มีอุปการคุณ ส่วนใหญ่เป็นนายทุนพรรค หรือ เป็นนักเคลื่อนไหวที่ทำกิจกรรมต่างๆ จนเป็นที่พอใจของเจ้าของพรรคการเมืองหรือคณะกรรมการของพรรค การบริหารพรรคการเมืองนั้นๆ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนแบบเกาะชื่อเสียงพรรคเข้ามาทั้งๆ ที่บางคนประชาชนไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้า แล้วจะมาอ้างว่า เป็นตัวแทนของปวงชนได้อย่างไร
สมาชิกวุฒิสภาก็ควรจะเลือกตั้งมาจากสาขาอาชีพโดยตรง เมื่อใดต้องการนักวิชาการหรือนักเทคนิคบ้าง สภาสามารถแต่งตั้งมาทำงานเป็นเรื่องๆ ไปในรูปของคณะกรรมาธิการ
ประโยชน์ของการเลือกตั้งแบบนี้ จะสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยระบบตัวแทนได้อย่างตรงและเป็นตัวแทนที่แท้จริงมากว่าการเลือกตั้งตัวแทนที่ผ่านมา สภาจะได้ผู้เชี่ยวชาญของแต่ละอาชีพอย่างหลากหลาย ที่ผ่านความเห็นชอบจากคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
เพื่อให้การเลือกตั้งได้รับการปฏิรูปอย่างจริงจัง ถึงเวลาที่จะต้องแยกอำนาจอย่างเด็ดขาด ไม่ทับซ้อนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่สามารถจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี หรือ ไม่สามารถรับตำแหน่งทางการเมืองอื่นได้
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน โดยใช้วิธีเลือกตั้งคล้ายๆ กับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยมีประเทศไทยเป็นเขตเลือกตั้ง
เพื่อให้การเลือกตั้งผู้นำประเทศโดยตรงเป็นไปได้ด้วยการยึดโยงของประชาชนโดยตรง จึงควรให้ประชาชนเป็นผู้สรรหาไปตั้งแต่การคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยวิธีการเลือกตั้งขั้นต้นหรือ primary election ผู้ที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งขั้นต้นจากทุกจังหวัดไม่ตำกว่าจังหวัดละ 30 % ผู้ที่ทำคะแนนไม่ถึง 30 % ของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนจะไม่มีสิทธิ์สมัครเป็นนายกรัฐมนตรีให้ประชาชนทั่วประเทศเลือก
รัฐต้องออกค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้สมัครตั้งแต่ต้นเพื่อป้องกันการสนับสนุนจากนายทุนแล้วจะเป็นเจ้าของในภายหลัง พวกเขาลงเลือกตั้งในนามของประเทศไทย ประชาชนเป็นเจ้าของนายกรัฐมนตรี มิใช่เป็นของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคการเมืองใดพรรการเมืองหนึ่ง คนที่สมัครเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเสนอทีมงาน หรือ รายชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรีต่อประชาชนให้ครบว่า ถ้าเลือกนายกรัฐมนตรีคนนี้ จะได้ใครเป็นรัฐมนตรีว่าการกระ
ทรวงใดบ้าง
รัฐต้องจัดให้มีการซักถามนโยบายและวิธีดำเนินนโยบายของผู้สมัครเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกันและเป็นธรรมทางฟรีทีวีของรัฐ เพื่อให้ผู้ที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงภูมิรู้ ภูมิปัญญา และวิสัยทัศน์ในการที่จะนำประเทศไปสู่ความรุ่งเรืองให้ได้ทราบกันอย่างกว้างขวาง เพื่อจะเป็นข้อมูลในการตัด
สินใจเลือกนายกรัฐมนตรีที่ตนเองชอบตามเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ ตามภูมิปัญญาของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
การเลือกตั้งแบบนี้ต้องเปลี่ยนแปลงจากการใช้เงินมาเป็นแรงจูงใจมาเป็นการใช้นโยบาย ความรู้ ความสามารถและภาวะผู้นำของผู้สมัครมาเป็นแรงจูงใจ เพื่อให้การเลือกตั้งสะท้อนเจตนาในการเลือกออกมาอย่างเที่ยงตรงไม่ถูกบิดพลิ้วและเบี่ยงเบนด้วยอำนาจเงินและอามิสสินจ้างอื่นๆ ดังที่เคยเป็นมา
เมื่อการเลือกตั้งจบสิ้นลง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารคือนายกรัฐสนตรีและคณะรัฐมนตรี นำปัญหาด้านต่างๆ ของประชาชนมาเสนอแก่ฝ่ายบริหารผ่านกระทู้ด่วนหรือการอภิปรายปัญหาให้ฝ่ายบริหารได้ทราบ ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารเพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเท่ากับประชาชนคัดเลือกคนดีมีคุณภาพ มีคุณธรรมมาถวายให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
นายกรัฐมนตรีทำงานตามนโยบายที่แถลงไว้กับประชาชนในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งและแถลงต่อสภา
การตรวจสอบการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรก็ตรวจสอบตามนโยบายที่แถลงไว้นั้น
การเลือกตั้งแบบนี้จะเป็นการเลือกตั้งทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมน
ตรีมาทำงานอย่างอิสระด้วยสติปัญญาแบบเสรีชน โดยไม่ต้องรับคำสั่งจากนายทุนพรรคหรือเจ้าของพรรการเมืองแต่ประการใด จะได้มุ่งทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชา
ชนส่วนใหญ่ของแผ่นดินจริงๆ เมื่อก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำ ก็คือผู้นำของประเทศมิใช่ผู้นำของพรรคการเมืองใดพรรการเมืองหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง
แนวทางการปฏิรูปการเลือกตั้งที่เสนอมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงข้อเสนอเพื่อกระตุ้นให้ท่านผู้อ่านหรือผู้ที่กำลังประชุมสัมมนาเพื่อปฏิรูปการเมืองได้นำไปถกเถียงถึงข้อดีข้อเสียความเป็นไปได้หรือความเป็นไปไม่ได้ มีข้อจำกัดหรือไม่ จะจัดการอย่างไร อันเป็นการเริ่มต้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอันเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบสากล
ขอให้กระแสการลุกขึ้นเรียกร้องการปฏิรูปประเทศไทยคราวนี้จงเป็นกระแสแห่งการแสวงหาทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองของประเทศด้วยสติปัญญาอันเป็นที่มาแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนดั่งบทธรรมภาษิตที่ว่า อติโรจติ ปัญญายะ สัมมาสัมพุทธสาวโก สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมเจริญรุ่งเรืองด้วยสติปัญญา
หยุดใช้ความรุนแรง หยุดรบราฆ่าฟัน หันหน้าเข้าหากัน มาระดมสมอง ระดมสติปัญญา ระดมความดีรวมให้เป็นพลังเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย อันเป็นที่รักของเราทั้งหลาย ออกจากภาวะวิกฤตการณ์เข้าสู่โอกาสแห่งพัฒนาการเพื่อมอบประเทศไทยที่มีเงื่อนไขแห่งการดำรงชีวิตที่ดีกว่า แก่ลูกหลานซึ่งกำลังจะเกิดมาภายหลังต่อไป
16 ธันวาคม 2556 เวลา 18.27 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
ดร.พระมหาจรรยา สุทธืญาโณ
เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญาและวัดลอยฟ้า
www.buddhapanya.org & www.skytemple.org