Monthly Archives: April 2020

กำลังใจแด่…พี่น้องชาวไทยทุกคน

เมื่อถึงยุคเข็ญพระโพธิสัตว์จะปรากฏตัว พระโพธิสัตว์ทั้งหลายมิได้มาสู่โลกมนุษย์เพื่อสู้รบกับใคร    เพียงแต่ที่ไหนมีทุกข์มากพระโพธิสัตว์จะปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากให้ผ่านพ้นไป    วิธีแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งในชาดกและพระโพธิสัตว์เดินดิน ช่วยผู้ทุกข์ยากทั้งหลาย ล้วนเอาความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์เป็นที่ตั้ง ใช้กรุณาของตนๆ เป็นพลังขับเคลื่อนให้งานทั้งหลายเดินไปสู่เป้าหมาย คือ ผู้ที่เป็นทุกข์พ้นจากทุกข์ เมื่อพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเห็นคนอื่นพ้นทุกข์ ก็คือความสำเร็จแห่งกรุณาที่ติดอยู่ในจิตใจมาสู่โลกมนุษย์เพื่อเปลี่ยนเสียงร้องไห้เป็นความอิ่มหนำและรอยยิ้ม

เมื่อประเทศไทยต้องใช้มาตรการ Social Distancing คนที่เคยทำงานมีรายได้ ก็ต้องยุติการทำงาน รายได้ก็ขาดไปตามงานที่ไม่ได้ทำนั้นด้วย ในประเทศที่มีสวัสดิการดูแลคนตกงานทั้งหลายพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็จะรับมือได้ แต่ประเทศของเราที่ยังไม่ได้วางระบบสวัสดิการไว้อย่างรัดกุม เมื่อต้องใช้มาตรการหยุดงาน ความลำบากขาดแคลนก็มาเยือนทันที แม้รัฐบาลจะพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเลือกแจกเงิน 5,000 บาทแก่คนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จริงๆ แต่เมื่อลงมือปฏิบัติแล้ว ไม่ตอบโจทย์ คือการช่วยบรรเทาผู้เดือดร้อนได้เลย กลับปรากฏคนเดือดร้อนขึ้นมาจำนวนมากที่ไม่ได้รับเงิน 5,000 บาทนั้น
          แม้รัฐบาลจะรับปากว่า จะดูแลพวกเขาให้ทั่วถึง แต่เสียงเรียกร้องจากผู้ทุกข์ยากทั่วแผ่นดินยังดังกึกก้องไม่เป็นอันสงบลงได้
          เมื่อคนเดินดินแต่จิตเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้พบเห็นคนทุกข์อยู่ตรงหน้า พลังแห่งความกรุณาก็เร่งเร้าให้เดินเข้าไปช่วย เราจึงพบว่า ความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติที่ผ่านมา ได้รับการเยียวยาบรรเทาไปส่วนหนึ่งจากคนไทยหัวใจพระโพธิสัตว์เหล่านี้ การแจกอาหารสดๆ เป็นมื้อที่รับประทานได้ตรงหน้าก็มี การมอบอาหารที่เป็นวัตถุดิบไปปรุงเองก็มี บางคนมีเงินมากนอกจากจะแจก ไข่ ข้าวสาร น้ำปลา น้ำมันพืชแล้ว ยังแจกเงินไปซื้อของใช้ที่จำเป็นอื่นๆ ด้วย
          ข่าวการให้ทานแบบนี้มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในผืนแผ่นดินไทย เหตุการณ์ครั้งนี้พิสูจน์ได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่ มีจิตใจเมตตา มีความพอใจในการเสียสละ บุคคลที่ก้าวออกมาช่วยเพื่อนมนุษย์ก็ใช่ว่า จะเป็นคนร่ำรวยอันดับต้นๆ ของประเทศก็หาไม่ เพียงแต่พวกเขายังพอมีเงินและทรัพยากรเหลืออยู่ พอมี พอกิน พออยู่ พอใช้ และพอใจในการให้ทาน
          อาตมาจึงเรียกคนใจดีและเสียสละอย่างแรงกล้าเหล่านี้ว่า พระโพธิสัตว์ อย่างเต็มปากเต็มคำ ขอได้รับการคารวะจากใจจริงๆ    ท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งจริงๆ    ท่านทั้งหลาย คือผู้มาเติมเต็มข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นของรัฐบาลให้เต็ม สมทบเพื่อประโยชน์สุขโดยแท้
           เรื่องการทำทานที่เราพร่ำสอนส่งต่อกันมาตั้งแต่ตั้งบ้านตั้งเมืองยุคพ่อขุนรามคำแหงว่า “คนสุโขทัย มักทรงศีล มักโอยทาน” จิตวิญญาณแห่งการให้ทานนี้ ยังสืบต่อผ่านกาลเวลาได้อย่าสวยงามและจะได้ส่งผ่านกันต่อไป
         ศิลาจารึกสอนมาแต่โบราณว่า “ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย” คุณธรรมของคนไทยทั้ง 2 ประการนี้ไม่เคยจืดจางร้างไป นับวันผลิดอกออกผลท้าทายยุคสมัยใหม่ได้อย่างสวยงาม สยามเมืองยิ้มยังไม่สิ้นมนต์ขลัง เมื่อใดหัวใจเปี่ยมด้วยกรุณา ไมตรี เมตตา สยามยังคงยิ้มได้ต่อไป
          พี่น้องไทยทั้งหลายเอ๋ย ท่านคือมนุษย์เทพที่มาช่วยยุคเข็ญโดยแท้ แม้บางครั้งทานบารมีของท่านจะวุ่นวายไปหน่อย ซึ่งท่านอาจจะมองว่า ความวุ่นวายเหล่านั้นอาจจะเป็นสารเร่งความกรุณาของท่านด้วยซ้ำไป การปรับปรุงแก้ไขวิธีการให้ทานที่มีประสิทธิภาพย่อมยังปิติให้เกิดขึ้น หากจัดระบบดีๆ ชวนมิตรสหายมาช่วยกันบริหารจัดการและเป็นจิตอาสา ผู้มารับก็ซาบซึ้งในกรุณาของท่านผู้มีจิตใจดีงามทั้งหลาย
          หากจัดระบบเพิ่มเข้าไปการทำบุญใหญ่คราวนี้จะนำมาซึ่งความปีติปราโมทย์ยิ่งนัก ซึ่งหมายถึงทั้งผู้ให้และผู้รับจะอิ่มกายอิ่มใจอิ่มท้องไปด้วยกัน
           ขอเป็นกำลังใจแก่คนใจดีงามทั้งหลาย ขอให้เดินหน้าสร้างบารมีต่อไป ขอเป็นกำลังใจแด่ผู้ตกงานและผู้ทุกข์ยากทั้งหลายที่เป็นสุจริตชน แต่ต้องเสียสละงานของตนเพื่อช่วยชาติและเพื่อนมนุษยชาติ ท่านก็คือผู้เสียสละอันควรค่าแก่การยกย่องไม่น้อยไปกว่ากัน การเสียสละของท่านทำให้การป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 ของประเทศไทยดำเนินไปอย่างได้ผล เป็นที่ชื่นชมจากองค์การอนามัยโลกและประเทศต่างๆ ทั่วโลก
           ขอให้พี่น้องร่วมชาติและพี่น้องมนุษยชาติจงปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ด้วยกันทุกคน ขอให้พวกเราฝ่าฟันอุปสรรคอันยิ่งใหญ่คราวนี้ไปด้วยกัน ขอให้ทุกคนแสวงหาความสุขทุกขณะเท่าที่จะหาได้ ขออายุ วรรณะ สุขะ พละ จงมีแด่ทุกท่านเทอญ
เมตตาและปรารถนาดี

ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ
วัดอุโมงค์ ตำบลสุเทพ
อำเภอเมืองเชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่
วันที่ 21 เมษายน 2563 เวลา 5.26 น.


สันติวิธี

ขณะนี้ประชาชนทั่วทุกมุมโลก ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลในประเทศของตนให้ปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน คือ Social distancing อยู่ห่างกัน   โรงงาน สถานบริการ ธุรกิจหลายชนิดต้องปิดตัวลงเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ประชาชนจำนวนมากจึงต้องอยู่กันแต่ในบ้าน เพื่อไม่ไปรับเชื้อโควิด-19 และไม่นำเชื้อโควิด-19 ไปแพร่ให้แก่ใคร    ในชีวิตปกติ ประชาชนต้องออกจากบ้านไปทำงาน ต้องพบปะสังสรรค์ มีปฏิสัมพันธ์กันในสถานที่ทำงานหรือในสถานเริงรมย์ต่างๆ กินดื่มเที่ยวเล่นอย่างเสรี พอมาถูกกักตัวแบบนี้เป็นเวลานานๆ จิตใจเริ่มดิ้นรนกระวนกระวาย เพราะไม่คุ้นเคยกับการอยู่นิ่งๆ กับที่นานๆ

ประชาชนกลุ่มหนึ่งเมื่อพบว่า โควิด-19 นี้ มิใช่มีผลกระทบทางกายเท่านั้น แต่มีผลกระทบทางใจด้วย จึงเริ่มหันหน้ามาสนใจเรื่องทางจิตใจมากขึ้น แสวงหาแนวทางที่จะเข้าถึงความสงบ เพื่อให้ใจได้พักไม่ดิ้นรนกระวานกระวาย หากไม่รีบฝึกฝนจิตให้สงบอาจจะพบกับโรคประสาทมาเยือนอีกโรคหนึ่งก็เป็นได้ มีคนหลายคนถามมาเหมือนกันว่า พอมีวิธีง่ายๆ ที่จะยังใจให้สงบได้ไหม จึงขอแบ่งปันตามประสบการณ์ที่เคยปฏิบัติมาโดยมีจุดมุ่งหมายง่ายๆ ว่า กายอยู่ไหน ใจอยู่นั่น สัก 3 หรือ 4 วิธี

1. เมื่อว่างจากกิจวัตรประจำวันที่จะพึงกระทำตามความจำเป็น และรู้สึกว่า มีเวลาว่างจริงๆ หาสถานที่ที่สงบ เช่น ในสวน ในทุ่งนา ใต้ร่มไม้ หากอยู่ในสังคมเมือง มีเนื้อที่ไม่กว้างขวางนัก ขอแนะนำห้องนอนของตนนั่นเอง เวลานั่งจะนั่งบนเก้าอี้ หรือนั่งบนเตียงก็ได้ เมื่อรู้สึกว่า นั่งแล้วสบาย เลือดลมเดินได้สะดวก ก็เทความสนใจไปที่ลมหายใจออกและหายใจเข้า ตัดความสนใจอื่นๆ ออกไปชั่วขณะตั้งใจว่า จะนำกายกับใจมาอยู่ใกล้ๆ กัน หายใจเข้ารู้สึกว่า สบาย หายใจออกรู้สึกว่า ผ่อนคลาย ทำไปแบบสบายๆ ไม่ต้องบังคับ หายใจตามธรรมชาติ สัมผัสความรู้สึกสบายและผ่อนคลายไปเรื่อยๆ

2. หากนั่งไปสักระยะหนึ่ง เมื่อจิตใจแนบแน่นใกล้ชิดกับกายสัมผัสได้ถึงความสงบ ก็สัมผัสกับความรู้สึกดีๆ มีความสุขนั้นอย่างซื่อๆ ยอมรับความสุขอันเกิดจากความผ่อนคลายนั้น แต่ไม่เผลอ   ดึงความรู้ตัวกลับมาที่ลมหายใจต่อไป เหมือนเดินทางเข้าตามสวนสาธารณะแม้พบสวนดอกไม้งามก็ชมพอสมควรแล้วเดินผ่านไปที่อื่น

3. ในชีวิตปกติธรรมดา ต้องมีการเคลื่อนไหว เช่น การยืน เดิน วิ่ง และการทำกิจกรรมต่างๆ ต้องใช้ความเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเมื่อไร ก็เทใจไปสู่ความเคลื่อนไหวนั้น ทำแบบสบาย ผ่อนคลาย ไม่ต้องบังคับบัญชา ปล่อยความเคลื่อนไหวเป็นไปตามธรรมชาติ เพียงใส่ความรู้สึกต่อทุกความเคลื่อนไหวนั้น แบบสบายๆ ใกล้ชิด เป็นกันเอง

4. วางใจไว้ในสัมผัส   ในชีวิตแท้ๆ ล้วนมีการสัมผัสมากมาย ตั้งแต่ลืมตาจนกระทั่งหลับตาทีเดียว จะเข้าห้องน้ำ จะหั่นผัก ต้มแกง ผัด ถูพื้น หิ้วของ ดูดฝุ่น ขับรถ ล้างจาน ล้วนต้องใช้สัมผัสทั้งสิ้น ปล่อยให้สัมผัสนั้นดำเนินตามความถนัด เพียงแต่ใส่ความรู้ตื่นเข้าไปในทุกสัมผัส มากเท่าที่จะใส่ได้ เพียงตั้งใจในตื่นรู้ก็เป็นมหากุศลยิ่งแล้ว

5. การฟังธรรมจากยูทูป ปัจจุบันนี้มีธรรมะหลากหลายมีทั้งแนวสงบ แนวธรรมดา แนวซุปเปอร์ฮาเลือกฟังตามชอบใจ การฟังธรรมเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ใจสบายและผ่อนคลายมากอีกวิธีหนึ่ง   ลองตรวจดูว่า ชอบแนวธรรมแบบไหนก็ตั้งใจฟังแนวทางนั้น หลายท่านเล่าให้ฟังว่า ไม่เคยสนใจธรรมะมาก่อน แต่ตอนนี้ชอบฟังธรรม ชอบภาวนา เพราะเป็นความสุขเพียงอย่างเดียวที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

เมื่อชีวิตต้องเปลี่ยน ทำใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงอย่างเท่ห์ เปลี่ยนห้องนอนให้เป็นห้องภาวนา เปลี่ยนบ้านทั้งบ้านเป็นสถานปฏิบัติธรรม นำใจที่เคยท่องเที่ยวไป กลับมาอยู่ใกล้ๆ เป็นเพื่อนกาย เมื่อกายกับใจอยู่ด้วยกัน จะไม่มีโลกแห่งความฝัน จะมีแต่ความจริงแท้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปัจจุบันขณะ คือเวลาแห่งความจริงแท้ ที่ไม่มีสิ่งใดเข้ามาแทรกแซงได้ ความสะอาด สว่าง สงบมีครบอยู่ในนั้น ขอเพียงรู้แจ้งต่อปัจจุบันขณะให้เพียงพอ ความทุกข์ใดๆ ก็ไม่รบกวน เมื่อความสุข อยู่ใกล้ๆ หาได้ฟรีๆ แล้วจะหนีไปแสวงหาความสุขที่ไหนกันเล่า

วันที่ 15 เมษายน 2563 เวลา 6.12 น.

วัดอุโมงค์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

ดร.พระมหาจรรยา  สุทฺธิญาโณ

ป้องกันโควิด-19 ด้วยสติ

เป็นทราบกันดีว่า การสวมหน้ากาก การรับประทานอาหารร้อนๆ การแยกใช้ช้อนกลางของแต่ละบุคคล การอยู่ห่างๆ กัน หมั่นล้างมือ เป็นมาตรการระดับสากลที่ประชาชนนิยมใช้เพื่อป้องกันโควิด-19 อาตมาได้จับมาเรียบเรียงตามความคิดของตนเป็นคำคล้องจองอยู่บ้างว่า สวมหน้ากาก ทานอาหารร้อน ใช้ช้อนกลาง ทำจิตว่าง หมั่นล้างมือ การปฏิบัติการดังกล่าวจะสำเร็จได้ ต้องมีสติอย่างละเอียดลออ ถ้าไม่มีสติจะปฏิบัติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ผลของการปฏิบัติก็จะไม่สมบูรณ์ สติที่จะนำมาใช้ในที่นี่หมายถึงความระลึกได้และความระมัดระวัง ตั้งใจในทุกความเคลื่อนไหวของชีวิต ซึ่งมีข้อที่จะปฏิบัติดังนี้
         1. แม้เรื่องของการสวมหน้ากาก ยังไม่เป็นที่ยุติว่า คนที่ยังไม่ได้รับเชื้อควรจะสวมหรือไม่ แต่ประชากรโลกส่วนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทก็พากันสวมเพื่อป้องกันไว้ก่อน ในประเทศไทยประชากรส่วนใหญ่มิได้มีข้อขัดแย้งพากันสวมหน้ากากด้วยความไม่ประมาท ความร่วมมือของประชาชนไทยเช่นนี้ เป็นเหตุให้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ตายไม่พุ่งพรวดพราดเหมือนอย่างในหลายประเทศที่ประชาชนยังมีความเชื่อว่า ผู้ป่วยเท่านั้นที่จะต้องสวมหน้ากากเพราะป้องกันมิให้แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น แต่ประเทศไทยของเราเชื่อว่า การสวมหน้ากากช่วยได้ทั้งป้องกันเชื้อมิให้ติดผู้อื่นและป้องกันเชื้อจากผู้อื่นมาติดเราด้วย การเจริญสติเพื่อให้การสวมหน้ากากมีประสิทธิภาพ ต้องระลึกไว้เสมอว่า เวลาจะออกจากบ้านไปธุระที่ไหนต้องสวมหน้ากาก เวลาจะต้องสนทนากับใครต้องสวมหน้ากาก เมื่อสติระลึกได้อยู่เสมอ การสวมหน้ากากเพื่อป้องกันตนเองและผู้อื่นก็มีประสิทธิภาพ
         2. รับประทานอาหารร้อน เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ถ้าโควิด-19 เจอความร้อนอุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส ก็จะยุติความเคลื่อนไหวฤทธิ์หมดพิษสง ถ้าได้ซดน้ำซุปหรือน้ำแกงร้อนๆ หากโควิด-19 ตกค้างอยู่แถวลำคอ อาจจะยุติการเคลื่อนที่เข้าสู่ปอดได้ หรือหากจะยังมีเชื้ออยู่ก็ทำให้อ่อนกำลังลงทำให้แพทย์รักษาได้ง่ายขึ้นดั่งที่ทราบกันว่า มีคนหายจากโควิด-19 เป็นจำนวนมาก หรือถ้าอยู่ในพื้นที่เขตร้อนและหมั่นทำงานกลางแจ้งหรือออกกำลัง จะทำให้ โควิด- 19 เข้าใกล้ร่างกายไม่ได้เพราะมันเจอความร้อนจะหมดสภาพไวรัสพิษไปเอง จึงต้องตระหนักอยู่เสมอว่า จะต้องใช้ชีวิตในอุณหภูมิที่สูงจะปลอดภัยกว่าการใช้ชีวิตในพื้นที่แคบๆ และอุณหภูมิต่ำๆ
         3. การแยกใช้ช้อนกลางของแต่ละบุคคลนอกจากจะป้องกันไวรัสมหาประลัยนี้ได้แล้ว ยังป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกหลายโรค นับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เปลี่ยนวัฒนธรรมการบริโภคของมนุษย์อย่างกว้างขวาง ความเคยชินกับความมักง่ายที่เจออะไรแล้วตักใส่ปาก ถึงเวลาปรับความเคยชินจากสัญชาตญาณ มาเป็นปัญญาญาณ เป็นโอกาสพัฒนาสติอย่างดี นับว่า พระพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณอันกว้างไกล ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ที่ทรงให้พระสงฆ์ฉันในบาตรของตน พร้อมด้วยจริยาวัตรการฉันในบาตรไว้อย่างครบถ้วน ถึงกับว่า พระภิกษุรูปใดฉันในภาชนะเดียวคือบาตร เป็นผู้ปฏิบัติอย่างขูดเกลา ถ้าท่านสาธุชนจะหาชามหรือกาละมังมาตักอาหารรวมกันดูในภาชนะเดียวบ้างก็จะเป็นการป้องกันโวิด-19 ได้เป็นอย่างดี โดยการตักครั้งเดียวให้พอแล้วไม่ต้องเติมอีก จะทำให้การใช้ช้อนกลางมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
          4. อยู่ห่างๆ กัน ก็เป็นวิธีการอีกอย่างหนึ่งที่ยอมรับกันเป็นสากลว่า สามารถยุติการแพร่เชื้อ โควิด-19 ได้อย่างมาก ในวันนี้ประเทศต่างๆ จึงพยายาม ขอร้องและบังคับประชาชนของตนให้อยู่กับบ้านให้นานที่สุดไม่ควรออกไปทำธุระที่ไหนที่ไม่จำเป็น หากจำเป็นต้องไปทำธุระในที่สาธารณะ เช่น การซื้ออาหาร ก็ต้องใช้สติระลึกเสมอว่า ต้องยืนห่างอย่างน้อย 3 เมตร หรือ ตระหนักไว้ว่า ยิ่งห่างยิ่งปลอดภัย ตามคติสมัยใหม่ว่า แยกกันเราอยู่ รวมหมู่เราตาย
          5. ทำจิตว่างๆ ทุกคนที่ต้องอยู่แต่ในบ้านคงได้รับประสบการณ์ต่างๆ เช่น หงุดหงิด เหงา ว้าเหว่ วิตกกังวล หวาดกลัว เครียด อาการเหล่านี้ล้วนเกิดมาเพราะจิตไม่ว่างทั้งนั้น เดี๋ยวสิ่งนั้นเกิด เดี๋ยวสิ่งนั้นดับสลับสับเปลี่ยนไปเสมอ ปรากฏการณ์เหล่านี้กลายมาเป็นสิ่งกวนใจ บีบคั้นทางใจ หากที่ใดประชาชนมีอาการอย่างนี้มากๆ จำนวนโควิด-19 อาจจะลดลงหรือคงที่ แต่อาการทางประสาทอาจจะเพิ่มขึ้น วิธีทำให้จิตว่างจากสิ่งรบกวนเหล่านี้ที่ดีที่สุดคือทำงานที่อยู่ใกล้ตัวให้มาก เช่น การทำงานบ้านให้ครบถ้วน เวลาทำงาน จิตจดจ่อกับงาน เพียงเรื่องเดียว จิตจะว่างจากเรื่องอื่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่น่าภูมิใจ เช่น การปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ อ่านหนังสือ สวดมนต์ ทำสมาธิ ทุกกิจกรรม ล้วนเป็นที่พักพิงใจได้อย่างปลอดภัย เมื่อใดใจอยู่กับความเคลื่อนไหวในปัจจุบันขณะ ด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างสดๆใหม่ๆ อันเป็นความรู้จริงและรู้แจ้ง เมื่อนั้นคือ จิตว่างอย่างแท้จริง กล่าวคือ จิตว่างจากสิ่งกวนใจ แต่เต็มไปด้วยความตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน อันทำให้การอยู่อย่างสงบเป็นสุขอย่างแท้จริง
          6. หมั่นล้างมือบ่อยๆ ได้ทราบจากนักวิทยาศาสตร์หลายสำนักยืนยันตรงกันว่า การล้างมือด้วยสบู่ เป็นวิธีสกัดการแพร่เชื้อที่มีประสิทธิภาพที่สุด ก่อนรับประทานอาหาร หลังรับประทานอาหาร หรือการที่ต้องสัมผัสห่วงประตู ลูกบิดประตูในที่สาธารณะ ต้องล้างมือทันที ในที่แบบนั้นควรมีแอลกอฮอล์แบบสเปรย์พกติดตัวไป ถ้าต้องไปจับหรือสัมผัสอะไรเสร็จแล้วต้องล้างมือเดี๋ยวนั้น การล้างมือ จะมีประสิทธิภาพได้ต้องระลึกไว้เสมอว่า ต้องล้างมือทุกครั้งที่ทำอะไรเกี่ยวข้องกับสาธารณะ เพื่อป้องกันเชื้อ มิให้ติดตนเอง และแพร่ไปยังผู้อื่น           ทุกมาตรการที่รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญช่วยกันออกมาเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีต้องมาจากจิตสำนึกมากกว่าความกลัวกฎหมาย ถ้าจะให้สมบูรณ์ต้องเคร่งครัดทั้งกฎหมายและมีจิตสำนึกที่ดี เพราะมาตรการเหล่านี้ที่ทุกคนปฏิบัติแล้วเพื่อตนเอง เพื่อประเทศชาติและกว้างใหญ่เพื่อมนุษยชาติอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ขอความดีงามเหล่านี้ที่ทุกท่านทำด้วยกุศลเจตนาอันดีงาม จงคุ้มครองรักษาให้ปลอดภัยแคล้วคลาดจากโควิด- 19และสรรพโรค สรรพอันตราย จงได้พบกับความสำเร็จ ความสุข ความสงบตามสมควรแก่ธรรมที่ได้ปฏิบัติดีแล้วนั้นเถิด
วันที่ 7 เมษายน 2563 เวลา 10.57 น.
วัดอุโมงค์ ต.สุเทพ อ. เมือง จ. เชียงใหม่

ดร.พระมหาจรรยา  สุทฺธิญาโณ


ในวิกฤตมีโอกาส

ขณะนี้พวกเราที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ต่างอยู่ในสงครามโรค เป็นสงครามที่ต้องรบกับศัตรูที่มองไม่เห็นตัว เมื่อใดก้าวพลาดภัยมืดนี้จะเข้าโจมตีทันที ในสงครามที่รบกันด้วยอาวุธ สามารถหลบเลี่ยงเขตสังหารจากศัตรูได้ หรือหากศัตรูจับตัวได้ จะกลายเป็นเฉลยศึก ก็มีสิทธิ์รอดชีวิต แต่การสู้กับกองทัพผีอย่างโควิด-19 นี้ ช่างเป็นการระมัดระวังตัวที่ยากเย็น เพราะทุกคนมีสิทธิ์ถูกกองทัพผีนี้โจมตีได้ทุกเมื่อ พวกเรามวลมนุษยชาติ กำลังอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่น่ากลัว แม้จะมีเสียงปลอบใจจากมวลมิตรว่า ทำจิตใจดีๆ ทำสมาธิภาวนาตามแนวทางศาสนาที่ตนนับถือ ก็ยังไม่สามารถจะทำลายความหวาดกลัวให้หายไปได้ ความหวาดกลัวสารพัดนี้ก็คงจะอยู่ไป ตราบเท่าที่ โควิด-19 ยังอยู่นั่นเอง หากมีใครถามว่า ทำไมต้องหวาดกลัว คงตอบไปง่ายๆว่า เพราะน่ากลัวนะซิ

ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ประเทศไทยของเรามีสถิติผู้ติดเชื้อ 1,300 กว่าคน จำนวนผู้เสียชีวิต 10 คน เป็นอันว่า ภายในหนึ่งอาทิตย์ จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในประเทศไทยของเราเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว ซึ่งไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ที่สถิติผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดยากแก่การหยุดยั้ง เพราะผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่นี้หากใครติดเชื้อแล้ว จะกระจายตัวแบบยกกำลังสองเสมอ จำนวนผู้ติดเชื้อของแต่ละประเทศจึงพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดหรือยกกำลังสอง มาตรการการล้างมือก็ตาม การอยู่กันห่างๆ Social distancing ก็ตาม ล้วนเป็นมาตรการที่หยุดแพร่เชื้อและหยุดรับเชื้อที่ดีที่สุดที่ทุกประเทศนิยมใช้กันขณะนี้ ประชากรประเทศใดมีระเบียบวินัยดี มีสติสัมปชัญญะ ก็จะชะลอจำนวนผู้ติดเชื้อได้ดี

ท่ามกลางสิ่งที่เราเรียกว่า วิกฤตการณ์ หากเราตั้งสติกันดีๆ เราก็ยังมีเรื่องดีๆ ทั้งเรื่องส่วนตัวครอบครัว และส่วนรวมมากขึ้นดังจะพอสรุปได้ดังนี้

1. เป็นการยืนยันถึงความเสมอภาคของมนุษย์ที่จะต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย และความหวาดผวาต่อภัยคุกคามแห่งชีวิตจิตใจที่เหมือนกัน ขณะนี้ชนชั้นนำของโลกหลายคนที่อยู่ในฐานะที่ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างดีเยี่ยม ต่างพากันติดเชื้อโควิด- 19 ถึงขั้นล้มป่วยและเสียชีวิตหลายราย เพราะภัยมืดนี้เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ใครมีเหตุปัจจัยครบถ้วนที่จะติดโรคก็ติดทันที ใครสร้างเหตุปัจจัยของการปลอดโรคได้ดีก็ปลอดภัย

2. เป็นการทำความสะอาดโลกครั้งสำคัญที่มนุษย์พร้อมใจกันทำด้วยความจำเป็น ในวันที่มนุษย์สุขสบาย ได้พากันสร้างมลพิษให้แก่โลกนี้สารพัดวิธี แต่พอโรคนี้ปรากฏตัวขึ้นและไล่ล่ามนุษย์อย่างไม่ปราณี มนุษย์ส่วนใหญ่ยุติความเคลื่อนไหว ยุติการใช้ยานพาหนะที่เผาผลาญน้ำมัน สร้างคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่โลกมากมายในแต่ละวัน การยุติโรงงานอุตสาหกรรม การยุติงานก่อสร้างต่างๆไปชั่วขณะ เป็นการชะลอการเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมหาศาล ปรากฏการณ์เหล่านี้ ล้วนเป็นวิธีทำให้โลกนี้บรรเทาความสกปรกลงได้ชั่วคราว

3. มาตรการหยุดงาน และ Social Distancing ที่ให้ยุติความเคลื่อนไหวที่มีปฏิสัมพันธ์กันในสังคมที่จอแจแออัด ทำให้ครอบครัวเข้มแข็ง สมาชิกครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า ได้ทำกิจกรรมร่วมกันหลายๆ วันทำให้ครอบครัวเข้มแข็งขึ้น เป็นการกลับมาเสริมความรักความผูกพันให้มั่นคงแน่นแฟ้นกว่าเดิม

4. มนุษย์แสดงความรักต่อกันมากกว่าความเกลียดชัง ท่ามกลางความยากลำบาก เราได้ทราบข่าวความดูแลช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแก่กันและกันในทุกรูปแบบเกิดขึ้นทั่วโลกในทุกมิติ พระโพธิสัตว์ ปรากฏตัวออกมาทั่วทุกมุมโลก พระโพธิสัตว์มิใช่ผู้วิเศษคนใดคนหนึ่งที่สวรรค์ส่งมาช่วยโลก แต่มนุษย์ใดก็ตาม มีความปรารถนาจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างไม่เห็นแก่ตัว มนุษย์เหล่านั้นล้วนเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น เช่น ทหารของทุกประเทศฝึกฝนมาเพื่อการใช้อาวุธคร่าชีวิตคนที่ถูกกำหนดว่า เป็นศัตรูของชาติ แต่วันนี้ทหารของทุกประเทศ เป็นกำลังอาสาสมัครสำคัญที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างอุทิศ โรคได้เปลี่ยนโลก ทั้งในแง่ของชีวทัศน์และโลกทัศน์จริงๆ

อาตมายังคงพำนักอยู่ที่เชียงใหม่ ยุติการเดินทางธรรมสัญจรชั่วคราว แต่ยังคงจัดรายการธรรมะหลายมิติและรายการธรรมทานจากวัดพุทธปัญญา ทาง Facebook: Wat Buddhapanya เพื่อสร้างเครือข่ายมิตรภาพทั่วโลกมุ่งเป็นกำลังและเป็นเพื่อนยามยากแก่ทุกท่านที่ยังคงทำหน้าที่สำคัญอยู่ที่บ้าน คือ ยุติการรับเชื้อสู่ตน และยุติการแพร่เชื้อของตนสู่ผู้อื่น พวกเรายังคงมีความหวังว่า ด้วยการทำงานอย่างอุทิศของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากทุกมุมโลก ไม่นานเกินรอเราจะมีวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เพื่อมารักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน จงปลอดทุกข์ ปลอดโศก ปลอดโรคภัย กระทำการใดๆ สัมฤทธิ์ผล มีความสุขท่ามกลางญาติทุกๆ คน ไม่ยากจนมีทรัพย์พอก่อสุขเทอญ

วันที่ 31 มีนาคม 2563 เวลา 7.12 น.

วัดอุโมงค์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ