Monthly Archives: February 2020

ความคุกรุ่นทางการเมือง

อุณหภูมิเดือนกุมภาพันธ์ 2563  โดยทั่วไปเริ่มอบอุ่นขึ้นบ้างเพราะเป็นปลายฤดูหนาว วันแห่งความรักและวันมาฆบูชา ก็มาไล่เลี่ยกัน ประชาชนได้รับไออุ่นแห่งความรักและความสงบร่มเย็นแห่งพระธรรมกันไปแล้ว เมื่อวันแห่งความสงบอบอุ่นผ่านไปไม่นานนัก ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 อันเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ และวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นวันอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล อุณหภูมิที่เคยอบอุ่นเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาตามลำดับ

        การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นรายบุคคล ที่ดำเนินมาแต่ละวันก็เข้มข้นดุเดือดปะทะกันอย่างไม่เกรงใจใคร เพราะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผู้อภิปรายแต่ละคนใช้เวลาอย่างเต็มที่ให้พอเพียงที่จะแสดงหลักฐานต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ บางคนก็เตรียมข้อมูลมาเพื่อเชือดเฉือนมากไปหน่อย ก็จะมีการประท้วงกันอย่างรุนแรงจนกระทั่งพูดไม่ได้ ฝ่ายรัฐบาลก็ดูทีท่าไม่กลัวการอภิปรายของฝ่ายค้าน แต่รู้สึกว่ากลับชอบอภิปรายโต้ตอบฝ่ายค้านด้วยซ้ำไป เพราะเป็นการถือโอกาสประกาศผลงานให้ประชาชนทราบไปในตัว

        ส่วนนอกสภานั่นเล่าเริ่มมีการจับกลุ่มของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค เคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ในทำนองที่ว่า พรรคอนาคตใหม่นั้นประชาชนจำนวน 6 ล้านกว่าคนเลือกมา แต่เหตุไฉน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียง 7 คน มายุบพรรคการเมืองที่เขารักไปได้ แม้จะมีคำชี้แจงจากศาลรัฐธรรมนูญถึงข้อกฎหมายที่จำเป็นต้องยุบพรรคอนาคตใหม่และมีคำสั่งห้ามคณะกรรมการบริหารพรรคเกี่ยวข้องกับการเมืองถึง 10 ปี แต่แฟนๆ พรรคอนาคตใหม่ก็ยังคงเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่รู้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่สิ้นสุด ความเคลื่อนไหวค่อยๆ ทวีความถี่มากขึ้น แม้จะเป็นความเคลื่อนไหวที่กำหนดเวลาชุมนุมและเวลาเลิกที่ชัดเจนก็ตาม

        ปรากฏการณ์ที่กล่าวมานี้ เป็นภาวะที่เรียกว่า คุกรุ่นทางการเมือง สภาวะเช่นนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงทางการเมืองที่ฝ่ายความมั่นคงต้องติดตามจับตาและบริหารจัดการให้ถูกทาง โดยมุ่งให้เกิดสันติ เป็นเป้าหมาย อย่าได้คิดว่า ผู้ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นศัตรูของรัฐบาลหรือทางราชการ แต่ต้องดูให้ชัดเจนว่า ความเคลื่อนไหวทางการเมืองนี้จะมุ่งไปสู่ทิศทางใด รัฐบาลไม่ควรประมาท แต่ไม่ควรใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด สิ่งที่ควรทำกันมากที่สุด คือ การทำความเข้าใจของผู้ที่กำลังเคลื่อนไหว เมื่อเขาเข้าใจกันได้แล้ว และยุติลงเพราะความเข้าใจร่วมกัน จะเป็นความสงบอย่างยั่งยืน

        อย่างไรก็ตาม ทางออกที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนี้ ควรจะใช้สภาผู้แทนราษฎรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบอบประชาธิปไตย หากมีปัญหาใดๆ ที่โน้มไปทางความรุนแรง ยังไม่ควรจะใช้กำลังปราบปราม เพราะวิธีการปราบปรามที่ใช้มาตลอด ผลออกมาก็คือ คนไทยที่เห็นต่างต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก คนที่ร่วมชุมนุมหลายคนถูกจับกุม ซึ่งประสบความยากลำบากมาก หลายคนเคยหนีเข้าป่า หรือลี้ภัยไปต่างประเทศ ไม่มีผลใดที่สวยงามหลังจากการต่อสู้มากนัก นักการเมืองเก่าๆ ก็ยังคงเสวยสุขและสร้างปัญหาให้ประชาชนต้องใช้เลือดเนื้อแก้ไขเสมอมา

        การตื่นรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บวกกับการนำบทเรียนในอดีตที่ผ่านมาหลายครั้งมาสรุปและประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้ระงับความเร่าร้อนลงได้บ้าง ประชาชนหรือแม้แต่เยาวชนผู้ที่กำลังเคลื่อนไหว ต้องคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ใช้สติปัญญาให้สุขุมลึกซึ้ง ทางใดที่ไม่ต้องไล่ล่าเข่นฆ่ากันพึงแสวงหาทางนั้น ทางใดที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตาย จะหลบเลี่ยงไปไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง  ควรหลีกเลี่ยงทางนั้น    การกระทำเช่นนั้น มิควรได้รับการประณามจากนักสู้ทั้งหลาย เพราะชัยชนะที่แท้จริงก็คือ ประชาชนทุกกลุ่มสามารถยืนบนแผ่นดินไทยได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข ต้องยุติการสูญเสียคนกลุ่มหนึ่งเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งอยู่ได้ อันเป็นความอยุติธรรมอย่างร้ายกาจ แต่พึงแสวงหาทางร่วมกันว่า คนไทยทุกหมู่เหล่าหรือใครก็ตามที่เหยียบเข้าสู่แผ่นดินไทยจะต้องอยู่ร่วมกันด้วยสันติ ความอดทนและความรักต่อกัน คือหัวใจสำคัญของประชาธิปไตย หากปรารถนาประชาธิปไตยเพื่อสันติ จงอยู่กันด้วยความรักเถิด

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 63 เวลา 21.53 น.

วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ดร.พระมหาจรรยา  สุทฺธิญาโณ

คำว่า รัก

สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์แห่งการเฉลิมฉลอง อหิงสาธรรมถึง 2 วัน คือ วันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์ วันสำคัญทั้ง 2 วันนี้แม้จะเป็นวันสำคัญต่างศาสนา ต่างวันและเวลา แต่สาระสำคัญของแต่ละวันล้วนกล่าวถึงการอยู่ร่วมกันด้วยความรักของมนุษย์ การที่มนุษย์ได้เคลื่อน

ไหวเพื่อประกาศและส่งเสริมให้มนุษย์รักกันไม่ว่าในรูปแบบใด ล้วนเป็นไปเพื่อสันติภาพและสันติสุขด้วยกันทั้งนั้น ประวัติศาสตร์โลกบ่งชัดแล้วว่า ความรัก และการไม่เบียดเบียนกัน สร้างสันติภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ระดับบุคคลถึงระดับโลก ส่วนความชังและการเบียดเบียน เป็นสาเหตุสำคัญแห่งการรบราฆ่าฟันของมนุษย์จากอดีตสู่ปัจจุบัน

เทคโนโลยี และการสื่อสารย่อโลกใบนี้ให้แคบลง ความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็มีความใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้น มนุษย์มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ศาสนา ประเพณี วิถีชีวิตของกันและกันมากขึ้น การเฉลิมฉลองวันสำคัญตามความเชื่อทางศาสนาและประเพณีต่างๆ ของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่เคยทำกันในกลุ่มของตน บัดนี้ได้ขยายกรอบออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์อันเป็นแหล่งกำเนิดความรักและอหิงสา ก็ได้รับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างกว้างขวาง

         การทำความเข้าใจศาสนาของตนให้ถ่องแท้แล้วเปิดใจแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศาสนาของเพื่อนร่วมโลก ย่อมเป็นวิถีที่ทำให้มนุษย์รู้จักถึงความเป็นมนุษย์ของแต่ละเผ่าพันธุ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นั่นก็หมายถึงวิถีที่จะทำให้มนุษย์มีความเป็นพี่น้องมากขึ้นบนพื้นฐานใดพื้นฐานหนึ่ง เช่น เป็นเพื่อนกันได้ รักกันได้ในฐานะเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บและตายมากขึ้น ความรู้จักมักคุ้นของมนุษย์บนโลกนี้มากขึ้นเท่าไร ความสงบและความปลอดภัยในความสัมพันธ์ทุกมิติของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

คำว่า รัก ในภาษาไทย มีความหมายหลายอย่าง นับเป็นโชคดีนอกจากคนไทยมีภาษาไทยในการใช้สื่อสารอย่างร่ำรวยแล้ว ยังมีภาษาบาลีมาเพิ่มให้สามารถทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้กระจ่างขึ้น เช่น คำว่า รัก หากเทียบกับภาษาบาลี จะมีคำอย่างน้อย 4 คำที่สื่อว่า เป็นความรัก

1. ราคะ เป็นความรักระหว่างเพศหรือเพศเดียวกันที่มีความแนบแน่นดื่มด่ำฝังจิตฝังใจ ดึงดูดให้คนที่มีความรักแบบนี้ใช้ชีวิตร่วมกันในรูปแบบของครอบครัวหรือแบบอื่นๆ อย่างเป็นทางการ หรือไม่เป็นทางการ  เพื่อมอบความรักที่มีต่อกันอย่างดูดดื่มให้แก่กันอย่างใกล้ชิด เป็นรักที่ต้องการครอบครอง มีหึง หวง ห่วงอาลัยต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เมื่อใดรักประเภทนี้เบาบางหรือจางคลายลง หรือหมดสิ้น คู่รักก็มักจะแยกทางกัน รักแบบนี้จึงเป็นดุจกาวใจที่ดึงดูดให้คน 2 คนใช้ชีวิตร่วมกัน จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับปริมาณที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของความรักแบบนี้

2. ปิยะ เป็นความรู้สึกรักแบบครอบครอง รักแบบนี้ผ่านขั้นตอนราคะไปแล้ว เป็นความรู้สึกครอบครอง ซึ่งมีทั้งบุคคลอันเป็นที่รัก สิ่งของ สัตว์เลี้ยง ก็เป็นที่รักได้ หากรักประเภทนี้เปลี่ยนแปลงไปหากตั้งใจไว้ไม่ทันจะเศร้าโศกเป็นอย่างมาก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกโข ความพลักพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ในชีวิตจริงๆ ต่างพบกับความพลัดพรากกันมาแล้ว บางคนรักสัตว์เลี้ยงมาก เมื่อสัตว์เลี้ยงตายไปก็เป็นทุกข์อยู่นานกว่าจะสร่างซา พ่อแม่ลูกหรือคู่รัก คราวพลัดพรากก็เศร้าโศก เหตุแห่งความเศร้าโศก ล้วนมาจากการพลัดพราก สิ่งนี้เป็นสัจธรรมสากลที่ทุกคนประสบพบได้เสมอ

3. เปมะ แปลว่า ความรัก ถ้าเป็นความรักผู้อื่นก็ใช้ในความหมายที่คล้ายคลึงกับคำว่า ปิยะ เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า เปมโต ชายตี โสโก แปลว่า ความโศกย่อมเกิดจากความรัก นอกจากนี้ เปมะ ยังใช้ในความหมายว่า รักตนด้วย เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ อัตตะสะมัง เปมัง รักอื่นเสมอด้วยตนไม่มี  ความรู้สึกรักตนเอง ดูแลรักษาคุ้มครองตนเองให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ก็อยู่ในความหมายนี้

4. เมตตา แปลว่า ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ผูกพัน ไม่ฝังใจ ไม่หึงหวง ไม่ห่วงอาลัย ความรักคือ ความเมตตานี้ เป็นความรู้สึกต่อบุคคลอื่นอย่างบริสุทธิ์ ไม่คิดครอบครอง เช่น เวลาที่เราเห็นเด็กน่ารัก เห็นสัตว์น่ารัก ก็รักเอ็นดู แต่ไม่มีความรู้สึกถึงกับอยากครอบครอง เช่น รักสุนัขรักแมว ก็รักไปในฐานะเป็นสัตว์ หรือสัตว์อื่นๆ ในสวนสัตว์ที่เราได้ชม หรือเห็นนกบินผ่าน แม้จะสวยงามแค่ไหน แต่ไม่เคยคิดจับหรือซื้อหามาเป็นของตน รักแล้วก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ความรักแบบนี้ มีมากเท่าไรก็เป็นสุขเท่านั้น ไม่กลับกลายเป็นความทุกข์เป็นความรักที่รักได้อย่างปลอดภัย

กรุณา แปลว่า รักที่โน้มไปในทางสงสาร คือ เมื่อมองเห็นว่า บุคคลหรือสัตว์ที่เรามีความเมตตาด้วยนั้นตกอยู่ในฐานะต้องช่วยเหลือ ก็ลุกขึ้นมาช่วยเหลือทันที ความช่วยเหลือแบบนี้ เป็นความรักออกมาจากใจ ที่เรียกว่า กรุณา เช่น เวลาที่แพทย์พยาบาลเห็นผู้ป่วยอาการหนัก ทุ่มเทรักษาอย่างเต็มที่แบบอดตาหลับขับตานอนจนกระทั่งผู้ป่วยอาการดีขึ้น เมื่อส่งเขากลับบ้านก็ไม่มีความทุกข์หรือความห่วงใย เหลือไว้แต่ความปลาบปลื้มใจที่ได้ช่วย ดั่งตัวอย่างแพทย์และพยาบาลของประเทศจีนที่ผนึกกำลังสู้ไวรัสโคโรน่าอยู่ทุกวันนี้

         คำว่า รัก ทั้ง 4 คำนี้ เป็นสภาวธรรมที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์มากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละคน สิ่งแวดล้อมที่แต่ละคนอาศัยอยู่ การเลี้ยงดู การฝึกอบรม ศาสนาวัฒนธรรมและประเพณี ล้วนมีบทบาทต่อการพัฒนาความรักทั้ง 4 ประการนี้ให้เข้มข้นหรือเจือจางอย่างไรในแต่ละมิติ อย่างไรก็ตามในความรักที่ยังมีทุกข์แฝงจะต้องมีสติคุ้มครองรักษา ให้สตินำพาความรักคอยปกป้องคุ้มครองทั้งในยามอยู่ด้วยกันและยามจากเพื่อรักษาความปกติของจิตมิให้แกว่งไปทางบวกหรือลบจนเกินไป หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งความทุกข์มิได้เกิดขณะที่กำลังรัก แต่ความทุกข์หรือ ความโศกเกิดขึ้นเมื่อต้องพรากจากบุคคลหรือสิ่งของที่รัก การพลัดพรากน่าจะเป็นเหตุแห่งความทุกข์มากกว่าความรัก เมื่อมีรักจึงต้องระวังใจและระลึกถึงอยู่เสมอว่า วันที่ต้องพลัดพรากเมื่อวันนั้นมาถึงจะได้ยืนหยัดอยู่กับความจริงแท้ว่า เป็นเช่นนั้นเอง หรือ พูดภาษาชาวบ้านว่า กูว่าแล้ว ความเข้าใจเช่นนี้จะบรรเทาทุกข์ได้ระดับหนึ่งไม่มากก็น้อยหรืออาจจะไม่ทุกข์เลย ถ้าเหตุปัจจัยเป็นไปอย่างถูกต้อง

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 8.30 น.

วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย

ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ

โศกนาฏกรรมกลางเมืองโคราช

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นวันเสาร์ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันมาฆบูชา เวลาบ่าย ขณะที่พุทธศาสนิกชนชาวโคราช กำลังเตรียมตัวหาดอกไม้ธูปเทียน ไปเวียนเทียนที่วัดใกล้บ้านของตนเนื่องในวันมาฆบูชา ชาวเมืองโคราชอีกจำนวนมากและครอบครัวใช้วันหยุดพาสมาชิกครอบครัวไปหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่ห้างเทอร์มินอล 21 อันเป็นห้างสรรพสินค้าที่ชาวโคราชคุ้นเคยดี เพราะมีสินค้าต่างๆ ให้เลือกตามชอบใจ อาหารการกินหลากหลายรสชาติ มีให้รับประทานกันอย่างเต็มอิ่มในราคาเป็นกันเอง

เวลาประมาณ 15.00 น. อีกมุมหนึ่งของเมืองโคราช จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ได้เริ่มก่อเหตุโศกนาฏกรรมด้วยการสังหารคนที่เคยทำธุรกิจด้วยกัน เสียชีวิตทันที 2 คน และบาดเจ็บสาหัส 1 คน สำนักข่าวต่างๆ ได้รายงานสาเหตุของจุดเริ่มต้นแห่งโศกนาฏกรรมนี้ว่า เกิดจากการที่คู่ทำธุรกิจไม่รักษาสัญญาเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์จากการทำธุรกิจซื้อขายบ้านด้วยกัน ได้มีการเจรจากันหลายครั้ง แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ สุดท้ายจึงลงเอยด้วยเหตุอันน่าเศร้าสลดนี้

          เมื่อจ่าจักรพันธ์ได้สังหารคนที่ทำให้ตนแค้นเป็นการแก้แค้นแล้ว แทนที่จะยุติการก่อโศกนาฏกรรมเพียงแค่นี้ ก็ออกจากที่เกิดเหตุมุ่งไปยังสถานที่เก็บอาวุธของค่ายทหารที่ตนเองทำงานอยู่ ได้ยิงเจ้าหน้าที่เฝ้าคลังอาวุธสองคน  แล้วทำลายประตูห้องเก็บอาวุธ เข้าไปนำอาวุธสงครามและกระสุนปืนออกมาเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งนำรถจากกองทหารขับออกไปด้วย เมื่อขับรถผ่านยามรักษาการณ์ ก็ยิงยามรักษาการณ์เสียชีวิต     ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จ่าจักรพันธ์ กลายเป็นจ่าคลั่ง สติแตกมีสภาพไม่ต่างจากปีศาจ ไม่สามารถแยกแยะอะไรดี อะไรชั่วออกได้ เจอใครผ่านหน้า ฆ่าทันที จิตที่วิปริตถึงที่สุดของจ่าจักรพันธ์ ทำให้ฆ่าคนตายไป 10 กว่าศพในเวลาไม่นาน ขณะที่อาละวาดฆ่าทุกคนที่ขวางหน้านั้น    เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามสกัดอย่างเต็มที่ แต่ไม่สามารถต้านทานอยู่ได้ สุดท้ายจ่าจักรพันธ์เข้าไปยังเทอร์มินอล 21 ห้างสรรพสินค้าดังกลางเมืองโคราชที่มีประชาชนหลายพันคน      อาการแห่งปีศาจร้ายยังคุ้มคลั่งไม่หยุด เจอใครขวางทางยิงทันที โหดเหี้ยมอย่างต่อเนื่อง

          ทางฝ่ายความมั่นคงทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดนครรราชสีมา ได้ร่วมประชุมกันสกัดกั้นเหตุร้ายนี้โดยด่วน เป้าหมายหลักเพื่อรักษาชีวิตของทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุให้ปลอดภัยมากที่สุด      ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นอกจากจะเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์สูงสุดแล้ว  ยังลงภาคสนามด้วยตัวเองเพื่อยุติมหาโศกนาฏกรรมนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

          เวลาผ่านไป 17 ชั่วโมง ประชาชนที่ติดอยู่ในห้างสรรพสินค้าจำนวนหลายพันคนได้รับความช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัย ประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่จ่าจักรพันธ์ ยิงเสียชีวิตที่ห้างนี้ เพิ่มเป็น 20 กว่าคน      ทางการได้พยายามลำเลียงศพออกมาอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้     ส่วนประชาชนอีก 40 กว่าคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บมากน้อยลดหลั่นกันไป ก็ได้รับการช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที

          จนกระทั่งเวลา ประมาณ 9.00 น. ของวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยุติภารกิจด้วยการพูดกับนักข่าวสั้นๆ ว่า ภารกิจจบแล้ว นักข่าวที่เฝ้าทำข่าวอย่างใกล้ชิด ต่างตีความคำว่า จบแล้ว หมายความว่า คนร้ายถูกตำรวจวิสามัญเป็นอันยุติมหาโศกนาฏกรรมที่ยาวนานกว่า 17 ชั่วโมงลงได้

          ท่านผู้อ่านคงจะได้ติดตามข่าวจากสื่อหลักและสื่อสมัครเล่นกันอย่างละเอียดแล้ว     อาตมาแค่สรุปเหตุการณ์คร่าวๆ ให้เข้าใจที่มาเพื่อสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์มหาโศกนาฏกรรมครั้งนี้สะท้อนอะไรบ้างตามมุมมองในทางพุทธศาสนา

          1. ความรู้ต้องคู่กับสติสัมปชัญญะ ความรู้และทักษะไม่ว่าจะในด้านใด ถ้าจะต้องเสี่ยงชีวิตเสี่ยงภัย ควรต้องฝึกสัมมาสติ คือ ความระลึกได้อย่างถูกต้องเคียงคู่ไปด้วย    กิจกรรมอะไรก็ตามที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตายต้องฝึกสติอย่างเข้มข้นเสมอ เป็นสติที่รวดเร็วพอที่จะกระชากจิตสำนึกที่ดีให้กลับมาครองใจโดยเร็ว พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า จิตที่ตั้งไว้ผิดย่อมสร้างความหายนะมากกว่าโจร 500 ปะทะกัน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องใส่กระบวนการฝึกสติลงไปเป็นวิชาหลักที่ทุกคนจะต้องมีสติไม่ว่าจะเป็นอาชีพใดก็ตาม เหตุการณ์ร้ายครั้งนี้สาเหตุสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามมาจากผู้ก่อเหตุขาดสัมมาสติอย่างรุนแรง จิตใจไม่มีแสงสว่างแห่งกุศลเหลืออยู่เลย

          2. ใจคุ้นเคยอยู่กับสิ่งใด มักจะทำสิ่งนั้นได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จากการติดตามข่าว คนที่บ้าคลั่งสังหารหมู่ในสหรัฐอเมริกาหลายๆ ครั้ง ล้วนมีเบื้องหลังกับการฝึกอาวุธ หรือการใช้ปืนมาทั้งนั้น      แม้เด็กที่เคยกราดยิงในห้องเรียนก็เคยมีประวัติว่า ชอบไปฝึกยิงปืนกับแม่เป็นประจำ  ตามหลักธรรมะ เมื่อจิตได้คุ้นเคย ย้ำคิดย้ำทำอยู่กับอะไร ใจก็มักจะจมอยู่กับเรื่องนั้นและพร้อมที่จะแสดงออกมาทางกาย วาจา ในเวลาอันสมควร     ในกรณีของจ่าจักรพันธ์ ก่อนจะก่อเหตุมหาโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เขามีความคุ้นเคยกับปืนและกระสุนมาเกือบครึ่งชีวิต   เวลาวิกฤตเขาจึงมองทางอื่นไม่เห็น นอกจากการใช้สิ่งที่เขาคุ้นเคยแก้ปัญหา เมื่อเกิดความขัดแย้งทางธุรกิจ เขาจึงมองไม่เห็นทางอื่นที่จะออกจากปัญหา จึงออกโดยทางนี้ และเมื่อขาดสติอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความรู้สึกดีชั่วก็หมดไป เขาเขียนบนเฟสบุ๊คว่า 3 รายแรกแก้แค้น ที่เหลือป้องกันตัว ซึ่งสิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นเป็นสัญชาตญาณดิบล้วนๆ       ในทางตรงกันข้าม มีคนเป็นจำนวนมากที่ได้ฝึกจิตจนคุ้นเคยอยู่กับธรรมะและศาสนา  เวลาที่ชีวิตวิกฤต เขาจะเข้าวัดเจริญสมาธิภาวนา หรือบวช ก็มีตัวอย่างมากมาย จึงต้องช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมและสังคมใหม่ๆ ให้ประชาชนได้มีสติ และมีทางออกที่สงบเย็นเป็นประโยชน์มากกว่าการใช้ความรุนแรง      ทุกคนต้องช่วยกันสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมแห่งการเจริญสติและการใช้ความไม่รุนแรงให้มากขึ้นในทุกก้าวย่างของชีวิต

          3. ข้อคิดจากข่าวนี้อีกประการหนึ่ง คือ เรื่องความยุติธรรม การทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม  ถ้ามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินทอง หรือเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่จะต้องมีการแบ่งปันกันจะต้องกระทำบนพื้นฐานแห่งความยุติธรรม คือ ต้องไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะเกลียดชัง ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไม่ลำเอียงเพราะไม่รู้ หากความอยุติธรรมอยู่ที่ใด ความรุนแรงมักจะตามมาเสมอ ความยุติธรรม คือ มารดาแห่งสันติสุขของทุกสังคม ปรารถนาที่จะให้สังคมพบสันติสุขต้องช่วยกันรักษาความยุติธรรม

          4. คนดีที่เสียสละเพื่อสังคมยังยืนหยัดพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผ่านวิกฤตการณ์เสมอ ทันทีที่เกิดเหตุการณ์อันน่ากลัวกระจายไปทั่วเมืองโคราช พลเมืองดีมีเมตตา ไม่มีใครติดกับความกลัว ต่างลุกขึ้นมาช่วยกันแก้ปัญหา แม้จะท่ามกลางความเสี่ยงชีวิต ใครมีอะไรช่วยได้ก็ลงมือช่วยทันที ช่วยกันแบบไม่กลัวตาย นับเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่ได้พบเห็น เช่น คนขับมอเตอร์ไซค์.รับจ้าง รวมตัวกันเตรียมพร้อมรับส่งผู้โดยสารโดยไม่เก็บเงิน เพื่อนำผู้โดยสารทุกคนที่อยู่ในอาการหวาดผวาได้เดินทางกลับบ้านโดยสะดวก จุดกรุณาอยู่ที่ว่า ในภาวะเช่นนี้ แทนที่คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างจะขึ้นราคาผู้โดยสาร แต่มอเตอร์ไซค์สีเขียว กลับไม่เก็บเงินเลย จิตใจประเสริฐจริงๆ ทีมแพทย์พยาบาลนักรบสีขาวของเราทุกคน ยืนหยัดเตรียมพร้อมไม่ยอมกลับบ้านจนวิกฤตการณ์จะผ่านพ้น นอกจากนี้ร้านค้าใกล้ๆ ที่พอมีน้ำมีอาหารก็นำมาแจกข้าราชการและคนที่รอการกลับบ้าน โดยคิดถึงความสะดวกปลอดภัยของทุกคนเป็นหลัก คนดีทั้งหลายที่ร่วมกันแก้ปัญหาในมหาโศกนาฏกรรมครั้งนี้มีมากไม่สามารถจะเอ่ยนามมาได้หมด ขอชื่นชมผู้มีความเมตตากรุณากล้าเสี่ยงช่วยให้วิกฤตการณ์ผ่านพ้นโดยเร็ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะน่ากลัว ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย และไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นอีก แต่ท่ามกลางวิกฤต เราได้พบคนดีจำนวนมากมายที่ปรากฏขึ้น เป็นความงดงามไม่ต่างจากสายรุ้งหลังฝนผ่านไปทีเดียว ขอสดุดี คนดีมีน้ำใจที่อุทิศตนเพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้โดยทั่วกัน

          การปรากฏตัวของคนร้าย เพียงคนเดียวสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจและสังคมมากมาย      จงนำเอาปรากฏการณ์ครั้งนี้มาเป็นบทเรียนว่า ไม่ว่าสังคมใด ควรมีแต่คนดีเท่านั้น เมื่อใดมีคนร้ายเกิดขึ้นเพียงคนเดียวจะสร้างความเสียหายมากมายทีเดียว   ภารกิจของทุกคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมคือ ระวังใจของตนไม่ให้เห็นผิดเป็นชอบ ต้องเห็นตามความเป็นจริง เห็นความดีว่าดีแล้วรีบทำความดี หากจิตโน้มไปในทางชั่วเพียงนิดเดียวต้องตัดออกไปทันที ไม่ปล่อยให้กิเลสเพาะเชื้อชั่วในใจ ช่วยกันส่งเสริมคนดีให้เป็นต้นแบบของคนที่กำลังหาต้นแบบ ช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันด้วยสันติ ช่วยกันสร้างวัฒนธรรมแห่งความเมตตา ที่ไม่มองใครว่าเป็นศัตรูแต่มองว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นปรารถนาให้ทุกคนเป็นสุขเท่านั้น ขอเป็นกำลังใจให้คนดีลุกขึ้นมาแสดงออกซึ่งความเมตตาทางกาย วาจา และใจ เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่อบอวลด้วยความสันติสุข ที่ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความสุขสงบเย็นตลอดไปเทอญ

วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 18.41 น.

ดร.พระมหาจรรยา  สุทฺธิญาโณ

การประชุม World Summit 2020

อาตมาเดินทางรอนแรมจากสนามบินนานาชาติ ลอสแองเจลิส แวะที่ไต้หวันเป็นเวลา 11 ชั่วโมงกว่า เพื่อรอต่อเครื่องบินจากไต้หวันไปยังกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ สรุปการเดินทางให้ฟังง่ายๆ ว่า ออกเดินทางจากสหรัฐอเมริกาเย็นวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 เวลา 22.45 น. เดินทางถึงประเทศเกาหลีใต้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 23.15 น. สาเหตุสำคัญที่ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างยาวนานเช่นนี้ เพราะต้องเปลี่ยนเที่ยวบินเดินทางที่จะต้องไม่บินผ่านประเทศจีน ขอเปลี่ยนให้บินผ่านไต้หวันแทน เพื่อหลบความยุ่งยากจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรน่าอย่างเข้มข้น ที่กำลังปฏิบัติกันอยู่ในประเทศจีนและประเทศต่างๆ เพื่อดูแลชีวิตของประชาชนให้ปลอดภัย จากไวรัสโคโรน่ามหาภัยครั้งนี้ ในระหว่างพักการประชุม ได้สนทนาธรรมกับเพื่อนๆ ที่เดินทางมาจากอเมริกาด้วยกัน หลายคนก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางการบินหนีประเทศจีนกันเป็นแถว บางรายขึ้นเครื่องบินจากนิวยอร์ค เข้าประเทศแคนาดาแล้วบินตรงเข้าประเทศเกาหลีใต้ บางรายบินไปฟิลิปปินส์ก่อนแล้วบินตรงเข้าเกาหลีใต้ บางคนออกจากลอสแองเจลิส เข้าซานฟานซิสโก แต่ต้องรอต่อเครื่องบินที่นั่นถึงสิบชั่วโมง เพื่อบินตรงสู่ประเทศเกาหลีใต้ ไวรัสโคโรน่า นอกจากจะมีผลร้ายทำลายชีวิตโดยตรงแล้ว ผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น การเดินทางทำธุระต่างๆได้รับผลกระทบโดยทั่วกัน ธุรกิจการท่องเที่ยวที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศต่างๆ แบบไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ก็พลอยหดหายไปอย่างมหาศาล ขณะนี้ทุกประเทศต้องใช้วิธีการสกัดกั้นไวรัสโคโรน่ากันอย่างเฉียบขาดจริงจังเหมือนๆ กัน

การประชุมสุดยอดคราวนี้ เริ่มวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 จะสิ้นสุดการประชุมวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้เข้าร่วมประชุมที่ทางองค์กรการจัดการประชุมได้เชิญไว้จากทั่วโลก 5,000 คน ต้องค่อยๆ ทยอยเดินทางมาเพราะต้องเปลี่ยนเส้นทางการบินอย่างกะทันหัน รายการต่างๆ ที่จะต้องประชุมต้องปรับให้กระชับขึ้น ทีมงานจัดการประชุมจึงต้องติดตามสถานการณ์ผู้เดินทางอย่างใกล้ชิด ทีมงานอาสาสมัครภาคสนามที่เตรียมงานทุกชนิด คัดเอาเฉพาะนักศึกษาหนุ่มสาวมาฝึกฝนเป็นอย่างดีเพื่อทำงานนี้โดยเฉพาะ ลักษณะเด่นของนักบริการรุ่นใหม่เหล่านี้ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความอ่อนโยนเป็นเยี่ยม มีความรอบรู้ มีความกระตือรือร้นที่จะให้บริการอย่างดีที่สุด นักบริการเหล่านี้จะมีสายสะพายเขียนข้อความต่างๆ เช่น World Summit 2020 หรือ welcome ง่ายๆ

แต่ละกลุ่มบริการจะใช้สีเป็นสัญลักษณ์ เช่น สีเหลืองจะดูแลให้บริการผู้เข้าร่วมประชุม จากทวีปเอเซีย สีฟ้าจากทวีปอเมริกาเหนือ และอื่นๆ ที่ช่วยให้ผู้ให้บริการและผู้รับบริการประสานงานกันได้สะดวก

หัวข้อใหญ่ในการประชุมสุดยอด 2020 คราวนี้มี 3 ประเด็นคือ

  1. Interdependence ร่วมมือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
  2. Mutual Prosperity เจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน
  3. Universal Value คุณค่าที่เป็นสากล

แต่ละหัวข้อใหญ่จะซอยเป็นหัวข้อย่อยๆ โดยมอบให้วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละเรื่อง ค้นคว้าหรือวิจัยมาก่อนแล้วแสดงปาฐกถาแบบเจาะลึกต่อเรื่องนั้นๆ ที่วิจัยมาดีแล้ว บางประเด็นซอยเป็นหัวข้อย่อยแล้วประชุมกลุ่มย่อยเพื่อระดมความคิด การประชุมครั้งนี้จึงมีรายการประชุมที่เข้มข้นตลอดเวลา เป็นการประชุมที่คุ้มค่าในเชิงวิชาการจริงๆ ประเภทของผู้เข้าร่วมประชุมก็มีหลากหลาย

มีทั้งนักการเมืองที่ยังอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันและหมดวาระแล้ว เช่น อดีตประธานาธิบดีจากประเทศต่างๆ นักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ระดับโนเบิลไพรซ์ นักเขียน นักข่าว นักลงทุน ครูอาจารย์ นักพัฒนาองค์กรเอกชน ข้าราชการระดับสูง นักบวชจากแทบจะทุกศาสนา มาร่วมกันแสดงความปรารถนาดีจากมุมมองของตนเพื่อให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่ เปี่ยมไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่สะอาดสวยสดงดงามตามธรรมชาติ มิตรภาพและความรักของเพื่อนมนุษย์เพื่อนำสันติภาพและความสุขมาสู่มนุษย์ทุกคนอย่างอบอุ่น

องค์กรที่จัดการประชุม เรียกว่า Universal Peace Federation แปลตรงตัวว่า สหพันธ์สันติภาพสากล โดยมีอุดมการณ์ว่า สร้างสันติภาพผ่านความร่วมมือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน นิยมคุณค่าที่เป็นสากล เช่น ความเมตตา กรุณา อหิงสา อภัย ความรัก และสันติภาพ ที่จะนำพามนุษย์ให้เจริญทั้งกาย จิตวิญญาณ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี่ และการพัฒนาในมิติต่างๆ ที่จะนำพาซึ่งความมั่งคงและสันติสุขเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างยั่งยืน

ในการประชุครั้งนี้ ได้พบนักข่าวจากประเทศไทยหลายคนที่รายงานข่าวและจัดรายการวิเคราะห์ข่าวอยู่ในปัจจุบันนี้ พระสงฆ์ที่เข้าร่วมประชุมจากประเทศเนปาล 1 รูป ประเทศพม่า 4 รูป ประเทศลาว 2 รูป ประเทศไทย 2 รูป รวมเป็น 9 รูป เวลาพระสงฆ์เดินไปตรงไหน มักจะโดดเด่นเป็นที่สะดุดตา ผู้พบเห็นปรารถนาจะถ่ายภาพด้วย อยากสนทนาธรรมด้วย ก่อนเปิดการประชุมในช่วงบ่าย จึงมีเวลาว่าง ได้สนทนาธรรมกับชาวอเมริกันหลายคน ส่วนมากสนใจเรื่องสมาธิ ได้คุยรวมไปถึงวิปัสสนา สติปัฏฐาน และอานาปานสติ คุยกันทุกนาทีจนหมดเวลา นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในรูปแบบและเนื้อหา เมื่อได้พบหน้ากัน เอ่ยปากไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ส่งร้อยยิ้มให้กัน เริ่มบทสนทนาที่มีคุณค่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพโลกแก่เพื่อนมนุษย์ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณได้เริ่มขึ้นในทุกสถานที่และทุกเวลา พระธรรม เป็น อกาลิโก ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล

        เนื่องจากเวลามีจำกัดจริงๆ จึงขอเล่าเรื่องการประชุม World Summit 2020 ไว้แค่นี้ก่อน ท่านที่ยังสนใจบรรยากาศการประชุมและเล่าเรื่องแบบรายงานสดๆ จากที่ประชุม ก็ติดตามได้ทางเฟสบุ๊ควัดพุทธปัญญา Wat Buddhapanya อาตมาพยายามจะรายงานสถานการณ์ต่างๆ จากที่ประชุมอย่างต่อเนื่อง ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามการเดินทางและการเข้าร่วมประชุมทางเฟสบุ๊คอย่างใกล้ชิด ขออำนาจบุญกุศลแห่งความปรารถนาดีในการให้ธรรมทาน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มวลมนุษยชาติอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณครั้งนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้ท่านสาธุชนทั้งหลายเจริญด้วยพรชัย 4 ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ สงบร่มเย็นในร่มธรรมของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกท่านทุกคนเทอญ

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 6.05 น.

Millennium Hilton Hotel, Seoul, Korea.

ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ