วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นวันเสาร์ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันมาฆบูชา เวลาบ่าย ขณะที่พุทธศาสนิกชนชาวโคราช กำลังเตรียมตัวหาดอกไม้ธูปเทียน ไปเวียนเทียนที่วัดใกล้บ้านของตนเนื่องในวันมาฆบูชา ชาวเมืองโคราชอีกจำนวนมากและครอบครัวใช้วันหยุดพาสมาชิกครอบครัวไปหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่ห้างเทอร์มินอล 21 อันเป็นห้างสรรพสินค้าที่ชาวโคราชคุ้นเคยดี เพราะมีสินค้าต่างๆ ให้เลือกตามชอบใจ อาหารการกินหลากหลายรสชาติ มีให้รับประทานกันอย่างเต็มอิ่มในราคาเป็นกันเอง
เวลาประมาณ 15.00 น. อีกมุมหนึ่งของเมืองโคราช จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ได้เริ่มก่อเหตุโศกนาฏกรรมด้วยการสังหารคนที่เคยทำธุรกิจด้วยกัน เสียชีวิตทันที 2 คน และบาดเจ็บสาหัส 1 คน สำนักข่าวต่างๆ ได้รายงานสาเหตุของจุดเริ่มต้นแห่งโศกนาฏกรรมนี้ว่า เกิดจากการที่คู่ทำธุรกิจไม่รักษาสัญญาเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์จากการทำธุรกิจซื้อขายบ้านด้วยกัน ได้มีการเจรจากันหลายครั้ง แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ สุดท้ายจึงลงเอยด้วยเหตุอันน่าเศร้าสลดนี้
เมื่อจ่าจักรพันธ์ได้สังหารคนที่ทำให้ตนแค้นเป็นการแก้แค้นแล้ว แทนที่จะยุติการก่อโศกนาฏกรรมเพียงแค่นี้ ก็ออกจากที่เกิดเหตุมุ่งไปยังสถานที่เก็บอาวุธของค่ายทหารที่ตนเองทำงานอยู่ ได้ยิงเจ้าหน้าที่เฝ้าคลังอาวุธสองคน แล้วทำลายประตูห้องเก็บอาวุธ เข้าไปนำอาวุธสงครามและกระสุนปืนออกมาเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งนำรถจากกองทหารขับออกไปด้วย เมื่อขับรถผ่านยามรักษาการณ์ ก็ยิงยามรักษาการณ์เสียชีวิต ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จ่าจักรพันธ์ กลายเป็นจ่าคลั่ง สติแตกมีสภาพไม่ต่างจากปีศาจ ไม่สามารถแยกแยะอะไรดี อะไรชั่วออกได้ เจอใครผ่านหน้า ฆ่าทันที จิตที่วิปริตถึงที่สุดของจ่าจักรพันธ์ ทำให้ฆ่าคนตายไป 10 กว่าศพในเวลาไม่นาน ขณะที่อาละวาดฆ่าทุกคนที่ขวางหน้านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามสกัดอย่างเต็มที่ แต่ไม่สามารถต้านทานอยู่ได้ สุดท้ายจ่าจักรพันธ์เข้าไปยังเทอร์มินอล 21 ห้างสรรพสินค้าดังกลางเมืองโคราชที่มีประชาชนหลายพันคน อาการแห่งปีศาจร้ายยังคุ้มคลั่งไม่หยุด เจอใครขวางทางยิงทันที โหดเหี้ยมอย่างต่อเนื่อง
ทางฝ่ายความมั่นคงทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดนครรราชสีมา ได้ร่วมประชุมกันสกัดกั้นเหตุร้ายนี้โดยด่วน เป้าหมายหลักเพื่อรักษาชีวิตของทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุให้ปลอดภัยมากที่สุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นอกจากจะเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์สูงสุดแล้ว ยังลงภาคสนามด้วยตัวเองเพื่อยุติมหาโศกนาฏกรรมนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
เวลาผ่านไป 17 ชั่วโมง ประชาชนที่ติดอยู่ในห้างสรรพสินค้าจำนวนหลายพันคนได้รับความช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัย ประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่จ่าจักรพันธ์ ยิงเสียชีวิตที่ห้างนี้ เพิ่มเป็น 20 กว่าคน ทางการได้พยายามลำเลียงศพออกมาอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ ส่วนประชาชนอีก 40 กว่าคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บมากน้อยลดหลั่นกันไป ก็ได้รับการช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที
จนกระทั่งเวลา ประมาณ 9.00 น. ของวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยุติภารกิจด้วยการพูดกับนักข่าวสั้นๆ ว่า ภารกิจจบแล้ว นักข่าวที่เฝ้าทำข่าวอย่างใกล้ชิด ต่างตีความคำว่า จบแล้ว หมายความว่า คนร้ายถูกตำรวจวิสามัญเป็นอันยุติมหาโศกนาฏกรรมที่ยาวนานกว่า 17 ชั่วโมงลงได้
ท่านผู้อ่านคงจะได้ติดตามข่าวจากสื่อหลักและสื่อสมัครเล่นกันอย่างละเอียดแล้ว อาตมาแค่สรุปเหตุการณ์คร่าวๆ ให้เข้าใจที่มาเพื่อสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์มหาโศกนาฏกรรมครั้งนี้สะท้อนอะไรบ้างตามมุมมองในทางพุทธศาสนา
1. ความรู้ต้องคู่กับสติสัมปชัญญะ ความรู้และทักษะไม่ว่าจะในด้านใด ถ้าจะต้องเสี่ยงชีวิตเสี่ยงภัย ควรต้องฝึกสัมมาสติ คือ ความระลึกได้อย่างถูกต้องเคียงคู่ไปด้วย กิจกรรมอะไรก็ตามที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตายต้องฝึกสติอย่างเข้มข้นเสมอ เป็นสติที่รวดเร็วพอที่จะกระชากจิตสำนึกที่ดีให้กลับมาครองใจโดยเร็ว พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า จิตที่ตั้งไว้ผิดย่อมสร้างความหายนะมากกว่าโจร 500 ปะทะกัน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องใส่กระบวนการฝึกสติลงไปเป็นวิชาหลักที่ทุกคนจะต้องมีสติไม่ว่าจะเป็นอาชีพใดก็ตาม เหตุการณ์ร้ายครั้งนี้สาเหตุสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามมาจากผู้ก่อเหตุขาดสัมมาสติอย่างรุนแรง จิตใจไม่มีแสงสว่างแห่งกุศลเหลืออยู่เลย
2. ใจคุ้นเคยอยู่กับสิ่งใด มักจะทำสิ่งนั้นได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จากการติดตามข่าว คนที่บ้าคลั่งสังหารหมู่ในสหรัฐอเมริกาหลายๆ ครั้ง ล้วนมีเบื้องหลังกับการฝึกอาวุธ หรือการใช้ปืนมาทั้งนั้น แม้เด็กที่เคยกราดยิงในห้องเรียนก็เคยมีประวัติว่า ชอบไปฝึกยิงปืนกับแม่เป็นประจำ ตามหลักธรรมะ เมื่อจิตได้คุ้นเคย ย้ำคิดย้ำทำอยู่กับอะไร ใจก็มักจะจมอยู่กับเรื่องนั้นและพร้อมที่จะแสดงออกมาทางกาย วาจา ในเวลาอันสมควร ในกรณีของจ่าจักรพันธ์ ก่อนจะก่อเหตุมหาโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เขามีความคุ้นเคยกับปืนและกระสุนมาเกือบครึ่งชีวิต เวลาวิกฤตเขาจึงมองทางอื่นไม่เห็น นอกจากการใช้สิ่งที่เขาคุ้นเคยแก้ปัญหา เมื่อเกิดความขัดแย้งทางธุรกิจ เขาจึงมองไม่เห็นทางอื่นที่จะออกจากปัญหา จึงออกโดยทางนี้ และเมื่อขาดสติอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความรู้สึกดีชั่วก็หมดไป เขาเขียนบนเฟสบุ๊คว่า 3 รายแรกแก้แค้น ที่เหลือป้องกันตัว ซึ่งสิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นเป็นสัญชาตญาณดิบล้วนๆ ในทางตรงกันข้าม มีคนเป็นจำนวนมากที่ได้ฝึกจิตจนคุ้นเคยอยู่กับธรรมะและศาสนา เวลาที่ชีวิตวิกฤต เขาจะเข้าวัดเจริญสมาธิภาวนา หรือบวช ก็มีตัวอย่างมากมาย จึงต้องช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมและสังคมใหม่ๆ ให้ประชาชนได้มีสติ และมีทางออกที่สงบเย็นเป็นประโยชน์มากกว่าการใช้ความรุนแรง ทุกคนต้องช่วยกันสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมแห่งการเจริญสติและการใช้ความไม่รุนแรงให้มากขึ้นในทุกก้าวย่างของชีวิต
3. ข้อคิดจากข่าวนี้อีกประการหนึ่ง คือ เรื่องความยุติธรรม การทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ถ้ามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินทอง หรือเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่จะต้องมีการแบ่งปันกันจะต้องกระทำบนพื้นฐานแห่งความยุติธรรม คือ ต้องไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะเกลียดชัง ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไม่ลำเอียงเพราะไม่รู้ หากความอยุติธรรมอยู่ที่ใด ความรุนแรงมักจะตามมาเสมอ ความยุติธรรม คือ มารดาแห่งสันติสุขของทุกสังคม ปรารถนาที่จะให้สังคมพบสันติสุขต้องช่วยกันรักษาความยุติธรรม
4. คนดีที่เสียสละเพื่อสังคมยังยืนหยัดพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผ่านวิกฤตการณ์เสมอ ทันทีที่เกิดเหตุการณ์อันน่ากลัวกระจายไปทั่วเมืองโคราช พลเมืองดีมีเมตตา ไม่มีใครติดกับความกลัว ต่างลุกขึ้นมาช่วยกันแก้ปัญหา แม้จะท่ามกลางความเสี่ยงชีวิต ใครมีอะไรช่วยได้ก็ลงมือช่วยทันที ช่วยกันแบบไม่กลัวตาย นับเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่ได้พบเห็น เช่น คนขับมอเตอร์ไซค์.รับจ้าง รวมตัวกันเตรียมพร้อมรับส่งผู้โดยสารโดยไม่เก็บเงิน เพื่อนำผู้โดยสารทุกคนที่อยู่ในอาการหวาดผวาได้เดินทางกลับบ้านโดยสะดวก จุดกรุณาอยู่ที่ว่า ในภาวะเช่นนี้ แทนที่คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างจะขึ้นราคาผู้โดยสาร แต่มอเตอร์ไซค์สีเขียว กลับไม่เก็บเงินเลย จิตใจประเสริฐจริงๆ ทีมแพทย์พยาบาลนักรบสีขาวของเราทุกคน ยืนหยัดเตรียมพร้อมไม่ยอมกลับบ้านจนวิกฤตการณ์จะผ่านพ้น นอกจากนี้ร้านค้าใกล้ๆ ที่พอมีน้ำมีอาหารก็นำมาแจกข้าราชการและคนที่รอการกลับบ้าน โดยคิดถึงความสะดวกปลอดภัยของทุกคนเป็นหลัก คนดีทั้งหลายที่ร่วมกันแก้ปัญหาในมหาโศกนาฏกรรมครั้งนี้มีมากไม่สามารถจะเอ่ยนามมาได้หมด ขอชื่นชมผู้มีความเมตตากรุณากล้าเสี่ยงช่วยให้วิกฤตการณ์ผ่านพ้นโดยเร็ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะน่ากลัว ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย และไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นอีก แต่ท่ามกลางวิกฤต เราได้พบคนดีจำนวนมากมายที่ปรากฏขึ้น เป็นความงดงามไม่ต่างจากสายรุ้งหลังฝนผ่านไปทีเดียว ขอสดุดี คนดีมีน้ำใจที่อุทิศตนเพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้โดยทั่วกัน
การปรากฏตัวของคนร้าย เพียงคนเดียวสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจและสังคมมากมาย จงนำเอาปรากฏการณ์ครั้งนี้มาเป็นบทเรียนว่า ไม่ว่าสังคมใด ควรมีแต่คนดีเท่านั้น เมื่อใดมีคนร้ายเกิดขึ้นเพียงคนเดียวจะสร้างความเสียหายมากมายทีเดียว ภารกิจของทุกคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมคือ ระวังใจของตนไม่ให้เห็นผิดเป็นชอบ ต้องเห็นตามความเป็นจริง เห็นความดีว่าดีแล้วรีบทำความดี หากจิตโน้มไปในทางชั่วเพียงนิดเดียวต้องตัดออกไปทันที ไม่ปล่อยให้กิเลสเพาะเชื้อชั่วในใจ ช่วยกันส่งเสริมคนดีให้เป็นต้นแบบของคนที่กำลังหาต้นแบบ ช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันด้วยสันติ ช่วยกันสร้างวัฒนธรรมแห่งความเมตตา ที่ไม่มองใครว่าเป็นศัตรูแต่มองว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นปรารถนาให้ทุกคนเป็นสุขเท่านั้น ขอเป็นกำลังใจให้คนดีลุกขึ้นมาแสดงออกซึ่งความเมตตาทางกาย วาจา และใจ เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่อบอวลด้วยความสันติสุข ที่ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความสุขสงบเย็นตลอดไปเทอญ
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 18.41 น.
ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ