พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ใจประเสริฐ ใจเป็นตัวนำความสำเร็จ” ถ้าใจผ่องใส ทำ พูด หรือ คิดอะไร ก็จะดีไปหมด ตรงกับคติแบบไทยๆว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ใครที่ทำงานกับเจ้านายดี ย่อมมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานยิ่งๆ ขึ้นไป เหมือนกับใจดีที่สั่งการให้กายทำอะไร วาจาพูดอะไร ล้วนเป็นไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นประโยชน์ตนและเป็นประโยชน์ผู้อื่นทั้งสิ้น
เมื่อใจผ่องใส เข้านอนเวลาไหนก็หลับง่ายหลับสบายเวลานั้น คนที่จิตใจดีจิตใจผ่องใส แม้ไม่ได้เข้าห้องนอน ไม่ได้เตรียมที่นอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก็สามารถหลับได้ทั้งๆ ที่ยังมิได้นอน เช่น เวลานั่งฟังธรรมแล้วหลับ นั่งรถโดยสารไปไหนมาไหน เดี๋ยวเดียวก็หลับ ทั้งๆ ที่ท่านั่งก็ไม่สะดวกสบาย แต่เมื่อใจสบายหลับง่ายหลับลึก คนที่หลับดีหลับง่ายหลับลึกนับว่าเป็นคนที่จิตใจผ่องใส ไม่ขุ่นมัวทีเดียว
ยามตื่นนอนตอนเช้า ถ้าตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจผ่องใสไม่มีอะไรขุ่นข้องค้างใจ ยามตื่นนอนก็รู้สึกสดชื่น การเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการทำกิจวัตรประจำวันก็ราบรื่นลื่นไหลสะดวกสบาย ทุกอย่างเป็นไปด้วยความพอใจและเป็นสุข สังเกตให้ดีๆ วันที่ใจดีเป็นวันที่มีความสุขและความสำเร็จมากกว่าวันที่ใจร้ายขุ่นมัว
คนดีมีจิตผ่องใส เวลาทำอาหารรับประทานก็ทำได้สวย ดี มีคุณภาพ เวลาใครรับประทานอาหารอร่อยๆ มักจะถามว่า คนปรุงอาหารใส่อะไรเป็นพิเศษลงไปในอาหารนะจึงอร่อยเช่นนี้ มักจะมีคำตอบว่า นอกจากเครื่องปรุงครบถ้วนแล้วยังใส่น้ำใจลงไปด้วย น้ำใจที่ว่านี้ คือ น้ำใจที่ใสสะอาดนั้นเอง เพราะเมื่อใจใสสะอาด ความเคลื่อนไหวในการปรุงอาหารต่างๆ ก็ดำเนินไปอย่างพิถีพิถันถี่ถ้วนในทุกขั้นตอนทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด
เมื่อรับประทานอาหารก็เช่นกัน ในวันที่ใจผ่องใสไม่ขุ่นมัว อาหารที่วางอยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะได้รับการปรุงจากผู้ปรุงมีฝีมือขนาดไหน จะปรุงเพียงง่ายๆ หรือปรุงอย่างพิถีพิถัน ก็รับประทานได้อร่อยมีความสุข จิตใจที่ผ่องใสรับประทานอะไรก็อร่อย จิตผ่องใสรวบรวมเครื่องปรุงอันเป็นทิพย์เอาไว้ครบครัน ไม่ว่าจะรับประทานอาหารของชาติไหน มีความพิถีพิถันในการปรุงมากน้อยเพียงใด แต่สารทิพย์จากจิตใจผ่องใสทำให้อาหารอร่อยทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรส ลิ้นจึงทำงานตามสั่งของจิตใจที่เป็นทิพย์แล้วแสดงผลออกมาเป็นอาหารทิพย์ที่แสนอร่อย
เวลาขับรถไปทำงาน วันใดที่ตื่นเช้าขึ้นมาจิตใจผ่องใสไม่ขุ่นมัว การขับรถ หรือการออกเดินทางด้วยรถเมล์ประจำทาง ถ้าหากขับรถหรือนั่งรถด้วยจิตใจที่ผ่องใสไม่ขุ่นมัวแล้ว ไม่ว่าจะนั่งรถยี่ห้อใด จะใกล้จะไกลแค่ไหน ความสุขก็ตามไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มีข้อจำกัดหรืออะไรจะขวางกั้นได้ เมื่อใจผ่องใสไม่ถูกกิเลสทำให้ขุ่นมัว ต้องมีความสุขแน่ๆ แม้ฟ้าก็มิอาจกั้น เป็นความสุขแบบอกาลิโก สุขไม่เลือกที่ สุขไม่เลือกเวลา ขอเพียงจิตใจผ่องใสแล้วสุขจะมาหาทันที
เวลาทำงาน ไม่ว่างานอะไร หากทำด้วยจิตใจที่ผ่องใส การทำงานนั้นจะทำด้วยความสุข บรรดาคณาจารย์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยได้กล่าวเรื่องการทำงานเอาไว้หลายแห่ง เช่น หลวงพ่อปัญญานันทะกล่าวว่า “งาน คือ ชีวิต ชีวิต คืองานบันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน”
ตรงนี้ต้องขยายความว่า พระมหาเถระระดับหลวงพ่อปัญญานันทะมีจิตสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา ท่านรักการทำงานเพื่อเพื่อนมนุษย์ตลอดเวลา ท่านจึงบอกว่า ทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน ความรู้สึกสนุกและเป็นสุขกับงานต้องมาจากจิตใจที่ผ่องใสเท่านั้น ถ้าขณะทำงานจิตใจผ่องใส เป็นสุขแน่ๆ แต่ถ้าทำงานไปบ่นไป วิตกกังวลไป เกลียดชังแก่งแย่งกันไป ทำงานไปนานเท่าไรคงไม่พานพบความสุขเป็นแน่แท้ หลวงพ่อพุทธทาสก็กล่าวว่า “สุขแท้มีแต่ที่งาน” ท่านคือพยานปากเอกที่ว่า “สุขแท้มีแต่ที่งาน” ผลงานของท่านออกมามากมาย กล่าวกันว่า ถ้านำเอาหนังสือที่ท่านประพันธ์และจากการถอดคำที่ท่านแสดงธรรม มาเผาร่างท่าน เผาท่านเหลือแต่เถ้าถ่านหนังสือก็ยังเหลืออีกมหาศาล คนรักงานเป็นสุขกับงานอย่างท่าน มาจากจิตของท่านผ่องใสเต็มที่ไม่มีขุ่นมัวนั้นเอง นอกจากนี้เรามักจะเห็นว่า ชาวนาชาวสวนทำงานเหนื่อยทั้งวัน พอตอนเย็นเดินทางกลับบ้าน ยังส่งเสียงร้องเพลงกันลั่นทุ่งได้อย่างสบาย ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ร้องเพลงเข้าไปได้อย่างไร ก็ร้องมาจากจิตที่สดชื่นเบิกบานนั่นเอง นี่แหละพยานที่จะยืนยันว่า สุขแท้มีแต่ที่งาน เพราะในที่ทำงานมีเสียงเพลงลอยออกมาให้ได้ยิน
ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องเล่าว่า หญิงคนหนึ่งตำข้าวไปด้วยร้องเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข มีพระสงฆ์เดินธุดงค์ผ่านมาได้ฟังเพลงของหญิงตำข้าวคนนั้น บรรลุธรรม เสียงเพลงจากเธอก็ออกมาจากจิตที่ผ่องใสไม่ขุ่นมัว แม้เวลาที่เธอทำงานหนักอาบเหงื่อเปียกโชก แต่เมื่อจิตของเธอผ่องใส เธอจึงร้องเพลงออกมาได้ ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานไม่ทำให้คนที่จิตผ่องใสเป็นทุกข์ได้ จิตของเธอที่ผ่องใสอยู่เหนือความทุกข์แม้เวลาที่กำลังทำงานหนัก
หรือเวลาที่คนพายเรือให้ผู้เดินทางโดยทางแม่น้ำ แม้การพายเรือจะเหนื่อย แต่ใจไม่เหนื่อยตาม พายเรือไปร้องเพลงไปด้วย กลายเป็นเพลงเรือที่ร้องสืบต่อกันมาในบรรดาคนที่โปรดปรานการทำงานด้วยจิตใจผ่องใสไม่ขุ่นมัว
มีคนชอบตั้งคำถามว่า ความสุขอยู่ที่ไหน หากพิจารณาตามธรรมข้อนี้แล้วตอบอย่างไม่ลังเลว่า ความสุขอยู่ที่ใจที่ไม่ขุ่นมัว จะหาความสุขอย่างไร หาจากใจที่ไม่ขุ่นมัว ข้อปฏิบัติเพื่อความสุขที่ทุกคนก็ทำได้คือ หลีกเลี่ยงการทำ การพูด และการคิดที่ทำให้จิตขุ่นมัว พยายามทำกิจกรรมที่ทำให้จิตผ่องใส รักษาจิตผ่องใสไว้อย่างมีคุณค่าเพราะเป็นที่มาแห่งความหมายของชีวิตทั้งปวง
สรุปว่า ทุกคนเกิดมาปรารถนาความสุข เมื่อปรารถนาความสุข จึงแสวงหาความสุขหลายๆ แบบตามที่ตนเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความสุข วิถีแห่งความสุขจึงไม่ใช่วิถีใดวิถีหนึ่งที่แน่นอนตายตัว จะเป็นวิธีใดก็ได้ ที่คิดทำพูดแล้ว จิตใจไม่ขุ่นมัว ไม่ทำลายความปกติและความผ่องใสแห่งจิตใจ กิจกรรมเหล่านั้นล้วนเป็นกิจกรรมนำมาซึ่งความสุขได้ รักษาใจไว้ให้ดีๆ เมื่อใจดี ความดีอื่นๆ จะไหลมาเทมาสู่ชีวิตตามความเหมาะสมแห่งเหตุปัจจัยเป็นแน่แท้
วันที่ 9 สิงหาคม 2561 เวลา 10.38 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย
ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ
เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา