พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ความทุกข์ที่ว่านี้ คือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความฝืนใจอยู่กับสิ่งที่ไม่น่ารัก ความไม่สมปรารถนา เป็นเรื่องที่ทุกข์ได้ทั้งกายและใจ ความทุกข์เป็นอริยสัจ คือ จริงแท้ ไม่มีใครจะสามารถหนีเงื่อนไขเหล่านี้ไปได้ ยกเว้นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ทำพระนิพพานให้แจ้งแล้วตัดเหตุแห่งการเกิดเสียเท่านั้น เมื่อไม่มีการเกิด ความแก่ ความตาย และสรรพทุกข์ทั้งหลายจึงไม่มี
เมื่ออาตมาย่างเข้าสู่วัยชราอย่างเต็มตัว โดยถือกันว่า เมื่อใครก็ตามอายุ 60 ปี เรียกว่า เริ่มย่างเข้าสู่วัยชรา ตั้งแต่ย่างเข้า 60 ปีมาไม่กี่เดือน สิ่งที่ต้องเผชิญ คือ ความเจ็บป่วย โรคต่างๆ รายล้อมเข้ามา โรคที่ยังไม่เคยเป็นก็เป็นขึ้น โรคที่มีอยู่แล้วก็แสดงตนออกมาชัดเจนรุนแรงมากขึ้น เมื่อโรครุมเร้ามากๆ ร่างกายอ่อนแอ เมื่อร่างกายอ่อนแอ จะออกกำลังเอาพลังกายคืนมาก็ยาก เพราะไปออกกำลังแต่ละครั้งสิ่งที่ได้รับมาก็คือ ความป่วยไข้ที่เกิดขึ้นได้ง่าย การเป็นไข้หวัดเล็กหรือใหญ่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เมื่อพยายามรักษาโรคชนิดหนึ่ง โรคอีกชนิดหนึ่งก็จะตามมา เพราะโรคแต่ละโรคมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน อาหารที่ฉันอาจจะถูกกับโรคหนึ่ง แต่ไม่ถูกกับโรคหนึ่ง ความขัดแย้งในตัวของร่างกายและธาตุเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้ธาตุแต่ละอย่างที่ประกอบกันเป็นร่างกาย ต่างพากันเสื่อมลงตามลำดับ เพราะไม่มีวิธีการรักษาสุขภาพที่มีทางเดียวครอบคลุมทุกอย่าง แต่มีการผสมผสานกันบ้างแตกต่างกันบ้างเป็นธรรมดา
อาตมาเกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว เพราะมีโอกาสได้เป็นโรคต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ที่มนุษย์ทั้งหลายเขาเป็นกันติดอันดับโลก เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และจบที่โรคหัวใจ และโรคที่ยิ่งใหญ่อีกโรคหนึ่งคือ มะเร็ง ก็เป็นมาแล้ว แต่ละโรคจะเริ่มมาเยือนเมื่ออายุเลยกึ่งศตวรรษไปเลย ก็เห็นความจริงว่า ร่างกายเปรียบเหมือนภาชนะรองรับของสกปรกทั้งหลายที่ใช้มา 50 กว่าปี จะต้องมีการผุกร่อนผุพังไปอย่างแน่นอน ส่วนจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
จากการตรวจประจำ 6 เดือนเมื่อ 3 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา คุณหมอที่ดูแลโรคเบาหวานและความดันอยู่เป็นประจำได้แนะนำให้ไปหาหมอเฉพาะทางเกี่ยวกับหัวใจ เพราะจาการตรวจด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยพบว่า หัวใจทำงานไม่ปกติ โดยจะเห็นจุดเล็กๆอยู่จุดหนึ่งที่ยังวินิจฉัยชัดเจนไม่ได้นอกจากจะหาผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
คุณหมอประจำจึงส่งไปยังผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ จึงไปพบคุณหมอโรคหัวใจดังกล่าว เมื่อไปถึงครั้งแรกก็ไม่มีอะไรมาก คุณหมอจะสอบถามอาการ และประวัติโดยทั่วไปพร้อมกับติดตามประวัติเก่าๆ แล้วนัดว่า คราวหน้าให้มาพร้อมกับผลเลือดครั้งล่าสุด และยาที่ฉันอยู่ทุกชนิด โดยหมอนัดให้ไปพบอีก 7 วันข้างหน้าระหว่างที่รอพบได้สั่งยามาให้ฉัน เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปรึกษาคุณหมอผู้สั่งยา ได้รับคำแนะนำว่า ถ้าอย่างนั้นต้องหยุดฉันยาทันที
พอถึงวันนัดใหม่ คุณหมอได้ตรวจความดันโลหิตโดยการให้เดินบนสายพานจากช้าและเร็วขึ้นตามลำดับ จนเป็นที่พอใจ เมื่อกำลังหอบลมหายใจสั้นสุดๆ หมอให้นอนลงบนเตียงแล้วใช้กล้องตรวจหัวใจ ผลของการตรวจปรากฏเป็นรูปหัวใจเต้นบนจอคอมพิวเตอร์ คุณหมอ กลับมาสรุปให้ฟังว่า เส้นโลหิตต่างๆ เท่าที่พบไม่อุดตัน แต่มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ มีวิธีการรักษา 2 ทางคือ ทานยาให้หายไป และ การฉีดสีส่องกล้อง จนพบว่าจุดเล็กๆนั้นคือ อะไร
อาตมาตอบคุณหมอว่า ทำตามที่คุณหมอเห็นสมควร เพราะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ตรวจให้เห็นความจริงแท้ย่อมเป็นผลดีต่อการรักษาต่อไปดีกว่าการคาดคะเน จึงตอบตกลง คุณหมอจึงนัดที่จะทำการตรวจโดยการฉีดสีส่องกล้องในวันที่ 3 เมษายน 2562 สถานที่ที่จะไปทำเรื่องนี้ เรียกภาษาอังกฤษตามหน้าแฟ้มประวัติที่เขาให้มาว่า AHMC Anaheim Regional Medical Center
วันที่ 3 เมษายน 2562 เมื่อไปถึงโรงพยาบาลรายงานตัวเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายพยาบาลได้ตรวจวัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก และตรวจสอบยาทุกชนิดที่เคยฉัน แล้วเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นผู้ป่วย เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนำขึ้นนอนบนเตียงแล้วเข็นเข้าไปยังห้องปฏิบัติการทันที เมื่อทีมเข็นนำเตียงไปถึง ส่งให้อีกทีมหนึ่งที่รอรับ ช่วยกันยกขึ้นเตียงปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมปฏิบัติการ
มีการปักเข็ม 3 จุดใหญ่ๆ ด้านแขนซ้ายหนึ่งจุด น่าจะให้ยาและน้ำเกลือ ด้านข้อมือขวาและขาหนีบ ไม่มีการให้ยาสลบแต่ประการใด รู้สึกว่า มีวัสดุอะไรบางอย่างถูกทะลวงเข้าไปทั้งทางแขนขวาและขาหนีบ เรียกไม่ถูก แต่รู้สึกว่าเจ็บแน่นๆ คุณหมอถามว่าเจ็บไหม ก็บอกตรงๆ ว่าเจ็บ แต่พอทนได้ เพราะเขาใช้วิธีนี้บ่นไปก็ไม่ได้อะไร ทำใจภาวนาวางสติไว้ที่ลมหายใจด้วยพุทโธ เรื่องกายเป็นเรื่องของหมอ เรื่องใจเป็นเรื่องของเราที่จะรักษา
การปฏิบัติการน่าจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที ทั้งคุณหมอและเจ้าหน้าที่บอกว่า เสร็จแล้ว จากนั้นจึงปิดแผลแล้วก็มีรถเข็นอีกคันหนึ่งเข้ามารับไปยังห้องพักฟื้น มีพยาบาลเข้าประจำที่ดูแผลขาหนีบว่า มีเลือดออกหรือไม่ ถ้าไม่มีเลือดออกก็จะให้กลับวัดได้เลย แต่ถ้ามีเลือดออกก็จะต้องนอนค้างหนึ่งคืน เฝ้าดูอาการประมาณหนึ่งชั่วโมง เป็นอันว่า เลือดออกยังไม่หยุด คุณหมอได้มาดูแผล แล้วอธิบายวิธีการทำ Angiogram (วิธีการตรวจวินิจฉัยหลอดเลือด)ให้ทราบว่า ได้ใช้อุปกรณ์ทะลวงเส้นเลือดเข้าไปจนพบจุดเล็กๆ นั้น เป็นกลุ่มคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันเป็นก้อนกีดขวางทางเดินของเลือด จึงได้จัดการนำออกแล้วนำStent (สเตนท์ คือ ขดลวดตาข่าย) ใส่เข้าไปถ่างและค้ำยันเส้นเลือดตรงนั้นไว้ ต่อไปจะไม่อุดตันอีก
คุณหมออธิบายลักษณะสเตนท์ โดยการถอดปากกาลูกลื่นออกมาแล้วดึงโลหะคล้ายเส้นลวดยืดหดได้ออกมาแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ใส่ไว้ตรงจุดนั้น เป็นอย่างนี้ จากนั้นคุณหมอจึงสั่งให้พยาบาลและเจ้าหน้าที่จัดห้องพักให้ 1 คืน เวลาประมาณ 6 โมงเย็นเจ้าหน้าที่ได้นำเตียงมารับไปเข้าห้องพักหมายเลข 262 มอบตัวให้พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายดูแล โดยเบื้องต้นต้องดูแลแผลให้เลือดหยุดเสียก่อน
การดูแลแผลมิให้เลือดไหลออกมาอีกนอกจากใช้ผ้าก๊อซพันไว้แล้ว ยังมีกระสอบทรายเล็กๆ มาวางไว้ให้รู้สึกเหน็บมากกว่าเจ็บ มือข้างขวาที่ถูกปักเข็มด้วยยังคงดามด้วยเครื่องดามเพื่อมิให้มือขยับอาจจะทำให้เลือดออกมาอีก ส่วนด้านซ้ายที่ปักเข็มไว้ก็ต่อเข้ากับน้ำเกลือหรือยาต่างๆ ตามที่หมอได้สั่งไว้ ขณะนั้น เจ้าหน้าที่จะมาวัดความดันโลหิตเป็นระยะๆ
อาตมานอนนิ่งๆ ไม่ไหวติงด้วยภาวนาสติปัฏฐาน 4 เรารักษาใจ ปล่อยให้คุณหมอรักษากาย ไม่กระวนกระวายทั้งกายและจิต พยาบาลเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจะวัดความดันโลหิตมากที่สุด เพราะคงจะดูการทำงานของหัวใจนั้นเอง เหลือบตาดูจอวัดความดันโลหิตที่เขาตั้งไว้ก็พบว่า ความดันโลหิตต่ำกว่าก่อนเข้าโรงพยาบาล อยู่ในภาวะปกติค่อนข้างดี เช่น ตัวบนปรากฎแค่ 103 หรือ 104 ต่างจาก ที่เคยปรากฏ 157 ก่อนเข้าห้องปฏิบัติการ
เช้าวันที่ 4 เมษายน 2562 หลายอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ความเจ็บปวดบรรเทาลง การวัดความดันโลหิตและตรวจน้ำตาลยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ ได้มาแจ้งว่า กำลังทำงานเอกสาร ใครจะมารับก็แจ้งให้ทราบได้ บ่ายโมงกว่าๆ น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้
อาตมากลับถึงวัดแล้วยังคงพักฟื้น อาการที่มีอยู่ตลอดคืออาการอ่อนเพลีย รู้สึกว่าไม่แข็งแรงเหมือนเก่า หลังจากกลับมานอนวัดคืนที่ 2 ประมาณเที่ยงคืนจับไข้ทั้งหนาวร้อนสลับกันไปอีก จึงฉันยาแก้ปวดแก้ไข้ที่ญาติโยมจัดไว้ พอให้อาการไข้ผ่านไปได้ ตื่นเช้าขึ้นมาเจ็บคอ กลืนอาหารไม่ลง จึงได้ฉันยาปฏิชีวนะและยาแก้ไข้หวัดใหญ่ อาการยังไม่ดีขึ้นฉับพลัน ต้องอยู่เฉยๆ ให้ร่างกายปรับตัวสักระยะหนึ่ง
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ตัดใจร่วมกิจกรรมวัดตอนเช้า ขณะที่ทำวัตรเช้าและสวดอภิธรรมรู้สึกอ่อนเพลีย รู้สึกร้อนในตัวออกมาข้างนอก แต่กำหนดอดทนจนเสร็จพิธี ร่วมรับบิณฑบาตญาติโยมที่มาทำบุญวันอาทิตย์แล้ววัดความดันปรากฏว่า ความดันต่ำกว่า 100 คือ 94 จึงรู้สาเหตุแห่งความอ่อนเพลีย เสร็จพิธีแล้วขออนุญาตญาติโยมพักผ่อนฉันยา เพราะต้องสู้กับหวัดให้จบด้วย
เย็นลงก็เป็นห่วงว่า บทความยังมิได้เขียนเลย จึงรวบรวมพลังที่มีอยู่เขียนบทความเพื่อให้ท่านที่อ่านเป็นประจำ จะได้ไม่ขาดหาย ขอรายงานตัวช่วงพักฟื้นแค่นี้ก่อน ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุข
วันที่ 7 เมษายน 2562 เวลา 18.51 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย
ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ