อธิษฐานเข้าพรรษา
ในสมัยพุทธกาล เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษา พระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า พระมหาปาละ เมื่อเทศกาลเข้าพรรษาใกล้เข้ามา ได้ชวนพระภิกษุเพื่อนสหธรรมิกด้วยกันสามสิบรูปเดินทางไปหาสถานที่สงบจำพรรษาในถิ่นชนบทเพื่อจะได้เป็นสถานที่บำเพ็ญสมณธรรมได้อย่างเต็มที่
เมื่อพระมหาปาละเดินทางถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้บอกความประสงค์กับท่านผู้ใหญ่บ้านว่า ท่านจะขอจำพรรษาที่หมู่บ้านแห่งนี้สามเดือน ผู้ใหญ่บ้านได้เรียกประชุมชาวบ้านแล้วแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ชาวบ้านทราบ
เมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวดีดังนั้น จึงได้ชวนการสร้างสร้างศาลามุงบังด้วยใบไม้แบบง่ายๆ เพื่อกันร้อน กันหนาว กันเหลือบ กันยุง กันริ้น กันไร เหมาะสำหรับบำเพ็ญภาวนา ที่เรียกว่า บรรณศาลา ให้แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นได้พักอาศัย
เมื่อถึงวันอธิษฐานพรรษา พระมหาปาละหัวหน้าสงฆ์ ได้ประชุมพระสงฆ์และถามว่า ในพรรษานี้ พวกเราทั้งหลายจะปฏิบัติธรรมด้วยอิริยาบถเท่าไร
พระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็ตอบว่า จะปฏิบัติธรรมด้วยอิริยาบถสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ด้วยสติสัมปชัญญะ
สำหรับพระมหาปาละได้กล่าวคำอธิษฐานแก่ พระภิกษุทั้งหลายว่า จะปฏิบัติธรรมด้วยอิริยาบถสาม คือ ยิน เดิน นั่ง เท่านั้น จะไม่ยอมแม้แต่เอนกายลงขนานกับพื้น
พระภิกษุเหล่านั้น ต่างปฏิบัติธรรมตามคำอธิษฐานอย่างเต็มที่เพื่อหวังได้บรรลุธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งภายในพรรษานี้
เวลาผ่านไปเพียงสองเดือน พระมหาปาละเจริญสติภาวนาอย่างจริงจังมิได้หลับนอนแต่อย่างใด ตาของท่านเริ่มปวด มีน้ำตาไหลเยิ้มออกมาอยู่เสมอ
ภิกษุทั้งหลายจึงบอกกับอุบาสกอุบาสิกาที่ปวารณาไว้ว่า ให้ไปหายาหยอดตามาถวายแก่พระพระมหาปาละ
หมอตามาตรวจตาของท่านแล้ว พบว่า หากจะหยอดตาให้ได้ผล ท่านจะต้องนอนหงาย หรือ เอนกายลงแล้วหยอดตา แต่พระมหาปาละยังยืนยันที่จะเจริญภาวนาด้วยอิริยาบถสาม ไม่เอนกายลงขนานกับพื้นเด็ดขาดตามที่ได้อธิษฐานไว้
การนั่งหยอดตา ทำให้น้ำยาที่หยอดเข้าสู่ดวงตาได้ไม่เต็มที่ เมื่อหมอตาเห็นว่า พระมหาปาละหยอดตาไม่ถูกวิธี และขอร้องอย่างไรก็ไม่เป็นผลจึงกลับมาบอกพระเถระว่า ขอยุติการรักษา เพราะถ้านั่งหยอดตาอย่างนี้ รักษาเท่าไรก็ไม่หาย
พระเถระยอมรับการตัดสินใจยุติรักษาของหมอตาอย่างสงบ โดยไม่มีการต่อรองใดๆ แต่ท่านได้มุ่งมั่นภาวนามากขึ้น ยิ่งใกล้วันออกพรรษา น้ำตาก็ไหลออกไม่หยุดอาการเจ็บก็กำเริบขึ้นตามลำดับ จนถึงคืนวันออกพรรษาทันทีที่ดวงตาของท่านบอดสนิท ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์สิ้นเชิง
เมื่อดวงตานอกดับไป ดวงตาในก็สว่างไสวมาทดแทน
ขณะที่ดวงตานอกยังสว่างไสว เมื่อดู หรือ เห็นสิ่งใดด้วยความไม่สำรวม จนเกิดความชอบ ชังหรือ ความเพลิดเพลินก็อาจนำมาก่อเหตุแห่งทุกข์นานัปประการ แต่ความสว่างไสวแห่งตาในเป็นความสว่างไสวอันนำความสุขสงบเป็นนิรันดร์มาให้นับว่า ความสูญเสียตานอกเพื่อให้ได้ตาในมาของพระมหาปาละคุ้มค่ายิ่งนัก
เมื่อออกพรรษาแล้ว พระภิกษุก็ทยอย เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เชตวันมหาวิหารเมืองสาวัตถี แต่เนื่องจากพระมหาปาละยังคอยหลานชายมารอรับจึงต้องกลับเมืองสาวัตถีล่าช้า ไม่นานนักหลานชาย เดินทางมาถึงในเพศสามเณรเพื่อป้องกันอันตรายจากโจรผู้ร้ายระหว่างทาง นั่นก็หมายความว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของโจรผู้ร้ายทั่วไปในสมัยนั้นว่า จะไม่ปล้นหรือทำร้ายพระภิกษุสามเณร
สามเณรจูงพระเถระออกเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงสาวัตถีซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ เจ็ดวัน แต่เมื่อสามเณรเดินทางไปเพียงไม่นานนักได้ยินเสียงจากสาววัยรุ่นสิบห้าหยกๆ สิบหกหย่อนๆ ร้องเพลงไปพลาง เก็บไม้ฟืนไปพลาง บริเวณป่าละเมาะริมทางเดิน สามเณรรู้สึกรันจวนใจหวั่นไหวยิ่งนัก จึงออกอุบายบอกพระเถระว่า ขออนุญาตไปทำธุระริมทางหน่อย
พระเถระก็อนุญาตด้วยดี
สามเณรหายไปครู่ใหญ่แล้วเดินออกมาชวนพระเถระว่า เราออกเดินทางกันเถิดขอรับ
พระเถระรู้ว่า สามเณรแวะริมทางไปทำมิดีมิร้ายกับหญิงสาวแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่กระสันรัญจวนพึงกระทำกันในที่เปลี่ยวแล้ว จึงบอกสามเณรว่า บัดนี้เธอกลายเป็นคนเลวเสียแล้ว เธอสละเพศแห่งสามเณรเสียเถอะ ไม่ต้องจูงฉันอีกแล้ว อย่าได้มาแตะไม้เท้าฉันอีกต่อไป เธอกลับไปบ้านตามทางของเธอเถิด
หลายชายของพรเถระรู้สึกสลดใจในพฤติกรรมของตน จึงเปลื้องจีวรออกจากกายนุ่งห่มผ้าแบบเพศคฤหัสถ์แล้ว วิ่งหนีพระเถระไปอย่างไม่เหลียวหลัง
ส่วนพระมหาปาละก็ใช้ไม้เท้าคลำทางเดินเรื่อยๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตใหม่ในโลกมืด แต่ก็มิได้มีความทุกข์ใจแต่อย่างใด
กล่าวกันว่า อาสน์ของท้าวสักกะเทวราชที่เคยอ่อนนุ่มบัดนี้แข็งกระด้างขึ้นมาเพราะพระเถระผู้ทรงคุณธรรมอันสูงส่งได้รับความลำบากอยู่ในหนทาง จึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มเดินทางผ่านมาแล้วถามว่า พระคุณเจ้าจะเดินทางไปไหนขอรับ
พระมหาปาละตอบว่า จะไปยังกรุงสาวัตถี
ชายหนุ่มอาสาสมัครว่า ถ้าอย่างนั้น กระผมขออาสานำพระคุณเจ้าเดินทางไปกรุงสาวัตถีเองขอรับ
พระเถระทราบว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนดีมีน้ำใจหรือท่านสัมผัสได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้มิใช่คนธรรมดาจึงอาสามานำท่านเดินทางไกลอย่างนี้ ท่านจึงยินยอมแต่โดยดี
กล่าวกันว่า ระยะทางจากจุดที่พระเถระกำลังเดินอยู่ไปถึงกรุงสาวัตถีต้องใช้เวลาเดินทางเจ็ดวันเต็ม แต่ท้าวสักกะเทวราชได้ย่นทางจากระยะทางเดินเจ็ดวันให้เหลือเพียงวันเดียว เพราะฉะนั้น เย็นวันนั้น ท้าวสักกะจึงนำพระเถระถึงเมืองสาวัตถีเข้าพำนักใน
เชตวันมหาวิหารโดยสวัสดิภาพ
เมื่อท่านเดินทางถึงเชตวันมหาวิหาร เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ยังไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า พระสงฆ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายที่พักได้จัดที่พักให้แล้ว ท่านก็เข้าที่พัก เพื่อพักผ่อนด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทางไกล
คืนนั้นฝนตกหนัก หลังจากฝนซาแล้ว แมลงเม่า ขึ้นมาจากพื้นดิน บ้างก็บินไปได้ไกล บ้างก็ปีกหลุด บินไม่ไหว คลานยั้วเยี้ยอยู่โดยทั่วไป
เวลาเช้าตรู่พระมหาปาละแม้ว่าบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ตื่นขึ้นมาเดินจงกรมรอบๆบริเวณที่พัก เนื่องจากท่านตาบอดมองไม่เห็นแมลงเม่าเหล่านั้น หลังจากท่านเดินจงกรมเสร็จแล้ว พระสงฆ์เดินผ่านมาเห็นแมลงเม่า ตายเกลื่อนอยู่บนทางจงกรมเป็นจำนวนมาก จึงพากันโจทย์จันว่า มีพระอาคันตุกะ มาจากไหนก็ไม่รู้ ตื่นมาเดินจงกรมเหยียบแมลงเม่าตายเป็นจำนวนมาก เวลาเดินก็ขาดสติมิได้ดูเส้นทางที่เดินจึงเหยียบแมลงเม่าตายเกลื่อนทางเดินจงกรม
พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมา ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า เธอสนทนากันอยู่ด้วยเรื่องอะไร
พระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า กำลังสนทนาเรื่องพระภิกษุรูปหนึ่ง เดินซุ่มซ่ามเหยียบแมลงเม่าตายเป็นเบือบนที่เดินจงกรมเลยพระพุทธเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าทราบความนั้นแล้ว จึงให้พระภิกษุไปตามพระภิกษุรูปนั้นมาแล้วตรัสถามว่า เธอเดินจงกรมเจตนาที่ฆ่าแมลงเม่าหรือไม่
พระเถระตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเดินจงกรมพระพุทธเจ้าข้ามิได้มีเจตนาเหยียบแมลงเม่าแต่อย่างใด
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า เธอเห็นแมลงเม่าไหม
พระเถระตอบว่า ไม่เห็นพระพุทธเจ้าข้า
พระองค์ตรัสถามต่อไปว่า ทำไมจึงไม่เห็น
พระเถระตอบว่า เพราะข้าพระพุทธเจ้าตาบอดพระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การที่พระภิกษุรูปนี้เหยียบแมลงเม่าตายเป็นอันมากจะบาปไหม
พระองค์ทรงทราบความทั้งหมดด้วยพระองค์เองแล้ว แต่ต้องการซักถามให้ภิกษุทั้งหลายได้ประจักษ์ถึงเรื่องนั้นอย่างชัดเจนว่า เป็นเช่นไร เมื่อภิกษุทั้งหลายทราบแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระภิกษรูปนี้ เป็นพระอรหันต์แล้ว เจตนาของเธอที่จะคิดฆ่าสัตว์แม้น้อยนิดก็ไม่มีเหลือ เธอจึงไม่บาปเพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า
ภิกษุทั้งหลายทูลถามต่อว่า เมื่อพระภิกษุรูปนี้มีบุญญาบารมีพร้อมจนถึงบรรลุพระอรหันต์แล้ว ทำไมจึงตาบอด
พระองค์จึงตรัสว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะพระอรหันต์รูปนี้ยังมีบุพพกรรมที่เหลืออยู่ต้องชำระสะสาง แต่เธอมีความเพียรมากจึงบรรลุพระอรหันต์ในวันที่ตาบอดสนิท พระองค์จึงเล่าบุพพกรรมให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่และลูกสาวอยู่ด้วยกันสองคน ลูกสาวรูปร่างหน้าตาดี มีความกตัญญูต่อแม่มาก ต่อมาแม่ตาบอด ลูกสาวแสนสวยและแสนดีคนนี้ก็เที่ยวหายาหยอดตามาให้แม่ แทนที่ยิ่งหยอดยิ่งสว่าง กลายเป็นยิ่งหยอดยิ่งมืดลง
อยู่มาวันหนึ่งลูกสาวแสนดีคนนี้ จึงไปหาหมอตาชั้นดี แล้วบอกว่า ถ้าคุณหมอรักษาแม่ของหนูให้หายได้ หนูจะให้เงินคุณหมอตามที่เรียกร้องหากเงินไม่พอจะยอมเป็นภรรยาของคุณหมอ
เนื่องจากลูกสาวคนนี้ดีและสวยพร้อม คุณหมอจึงเลือกที่จะขอเธอมาเป็นภรรยาแทนค่ารักษาถ้าคุณหมอรักษาดวงตาแม่หายสนิท
หมอจึงมาดูอาการทางตาแล้ว ปรุงยาเพียงขนานเดียว หยอดไม่กี่ครั้งดวงตาของแม่ก็สว่างไสวในทันใด สร้างความปลื้มใจให้แก่ลูกสาวเป็นอันมากที่ได้ตอบแทนบุญคุณของแม่
แต่แม่เองพอหายจากอาการตาบอดแล้วเกิดความโลภขึ้นมาไม่อยากจะมอบลูกสาวให้หมอตามสัญญา จึงแกล้งโกหกหมอไปว่า ยาที่คุณหมอนำมารักษาดวงตานั้น ดวงตายังไม่สว่างเลย
หมอรู้ว่า นางโกหก เพราะยาขนานนี้เป็นยาชั้นเยี่ยม รักษาเพียงครั้งเดียวก็หาย จึงบอกกับนางว่า ถ้าอย่างนั้นจะปรุงยาขนานใหม่ให้อีก
หมอรู้ว่า นางจะไม่ยอมให้ลูกสาวตามสัญญาที่มีต่อกัน จึงบอกว่า ยาที่หยอดนั้นไม่ช่วยให้ดวงตาเห็นชัดขึ้น จึงปรุงยาที่หยอดแล้วทำให้ตาบอดสนิทมอบให้แก่นาง เมื่อนางหยอดยาแล้ว ตากลับบอดดังเดิมแล้วหมอก็จากไป
ด้วยบุพพกรรมนี้ หมอคนนั้น ได้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์นับไม่ถ้วน และแต่ละชาติก็ต้องใช้หนี้กรรมที่ทำไว้กลายเป็นคนตาบอดจนถึงชาติสุดท้ายจึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ที่ตาในสว่างไสว แต่ตานอกบอดสนิท
พระพุทธเจ้าจึงจบบทสนทนาด้วย พระพุทธพจน์บทธรรมที่ว่า
ธรรม(สิ่งทั้งหลาย) มีใจเป็นหัวหน้า มีใจถึงก่อน สำเร็จแล้วด้วยใจ
หากใจถูกกิเลสเข้าไปประทุษยร้าย(ผสม) การทำและการพูดก็จะคล้อยตามใจไปเหมือนล้อเกวียนย่อมติดตามรอยเท้าโคไปอย่างใกล้ชิดฉะนั้น
การรักษาใจมิให้กิเลสประทุษร้ายจึง เป็นทางแห่งการรักษากายวาจาให้ปลอดภัยไม่เบียดเบียนตนเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ในวโรกาสเข้าพรรษามาถึงนับเป็นวาระพิเศษที่พุทธบริษัททั้งหลายจะได้ขวนขวายสร้างสรรค์ความดีเพิ่มพูนคุณภาพกาย คุณภาพจิตให้มากขึ้นอีกหนึ่งพรรษา จึงควรมาร่วมกันอธิษฐานว่า ในวาระพรรษากาลนี้ พวกเราจะร่วมกัน คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดีๆ สร้างครอบครัวให้ดี ทำงานให้ดี รักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้ ทำธุรกิจการงานดี ได้รับเงินดี กายดี จิตดี ไม่มีโรคกาย ไม่มีโรคจิต ชีวิตเป็นสุขสงบเย็น
ขอความปรารถนาที่ดีงามเหล่านั้นของท่านสาธุชนทั้งหลายจงสำเร็จโดยพลันด้วยการพากันปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามสมควรแก่ธรรมทุกท่านทุกคนเทอญ
วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 8.30 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ
เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญาและวัดลอยฟ้า
www.buddhapanya.org & www.skytemple.org