ตอนที่ 1
แม้ใครๆ มักจะพูดว่า วันเกิดหรือวันไหนๆ ก็คล้ายๆ กันไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่สำหรับอาตมาวันเกิดแต่ละปีมีความหมายเสมอ โดยเฉพาะวันเกิดในปีที่อายุครบ 60 ปี ย่อมมีความหมายมากกว่าวันเกิดในปีที่ผ่านมา เพราะหากถือตามคติไทยหรือชาวเอเซียของเรา คนมีอายุ 60 ปี ย่างเข้าเขตวัยชราอย่างเต็มตัว จะเห็นได้จากคนที่รับราชการตั้งแต่ยังหนุ่มสาวก็จะเกษียณกันในปีที่มีอายุครบ 60 ปีนี้เอง วันเกิดที่อายุครบ 60 ปีจึงมีความหมายเป็นพิเศษว่า ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ ไม่ว่า กายภาพ หรือความคิดเห็น มุมมองชีวิตและโลกเปลี่ยนไปเช่นกัน
วันนี้วันที่ 2 มกราคม 2562 ตื่นนอนมาตั้งแต่ตี 4 กว่าๆ เปิดธรรมะเรื่องอริยสัจ 4 ฟังเพื่อเตือนใจว่า ชีวิตนี้ เกิดมาพร้อมกับความทุกข์ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตาย ล้วนเป็นหุ้นส่วนชีวิตที่ติดมาตามธรรมชาติ เมื่อสิ่งหนึ่งปรากฏ สิ่งหนึ่งอาจจะซ่อนเร้นอยู่จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร เช่น ความแก่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ความแก่จะปกปิดระยะหนึ่งในช่วงต้นๆ จากนั้นค่อยๆ เผยตัวออกมาอย่างช้าๆ จนชัดเจนขึ้นทุกขณะๆ ก่อนที่ความเจ็บและความตายจะปรากฎตัวออกมาสมทบกันในภายหลัง
อริยสัจ 4 ได้บอกความจริงแท้ของชีวิตไว้ครบถ้วนว่า ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้ตามคำที่ชาวบ้านทั่วไปพูดกันว่า สุขบ้าง ทุกข์บ้างนั่นแหละปรากฏการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะมากมายปานใด แต่สรุปแล้ว ความทุกข์ แปลว่า ทนยาก และความสุข แปลว่า ทนง่าย สุดท้ายทั้งสุข และทุกข์ ล้วนต้องทนพอๆ กัน ส่วนจะทนมาก หรือ ทนน้อย ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อริยสัจ 4 นี้เป็นธรรมชาติแท้ๆ จริงๆ เพราะบุคคลใดๆ ไม่จำกัด เชื้อชาติ ชนชั้น ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อใดๆ ล้วนเป็นไปอย่างนี้ คือ สุขบ้าง ทุกข์บ้างสลับกันไป
เมื่อถึงเวลาใกล้ตี 5 จึงลงทำวัตรเช้าร่วมกับคณะสงฆ์ นั่งสมาธิจนถึง 6 โมงเช้าแล้วเตรียมตัวจัดรายการธรรมทานจากวัดพุทธปัญญาตั้งแต่เวลา 6.30-7.00 น. หัวข้อเรื่องที่พูดในวันนี้ คือ เรื่องขอบคุณ คิดขึ้นมาได้ขณะนั่งสมาธิ โดยเรียบเรียงถ้อยคำได้ความว่า
ขอบคุณพ่อแม่ ผู้ให้ชีวิต
ขอบคุณกัลยาณมิตร ผู้อุปถัมภ์
ขอบคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ทรงชี้นำ
ให้พบธรรมนำทางห่างทุกข์ภัย
ได้ข้อคิดว่า ชีวิตทุกชีวิตในโลกนี้ล้วนผ่านการรับจากการให้ของคนอื่นมามากมาย ดูเหมือนว่า การให้ คือ พลังสำคัญที่ขับเคลื่อนโลกให้เป็นไปอย่างสันติสุข ณ ที่ใด ยุคใด สมัยใด การให้มีมาก ณ ที่นั้น ยุคนั้น สมัยนั้น ความสุขของมนุษย์จะมีอย่างสูงส่ง ในทางตรงกันข้าม หากยุคใด สมัยใด มนุษย์คิดแต่เรื่องการเอามาก โดยเฉพาะการเอาเปรียบเกิดขึ้น ณ ที่ใด ณ ที่นั้น สมัยนั้น สันติสุขจะลดน้อยถอยลง หรือ ถ้าคิดเอาเปรียบกันมาก เอาแต่ได้เพื่อตน หรือ ฝ่ายตน มนุษย์จะทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกัน ถึงรบราฆ่าฟันเกิดสงครามระหว่างบุคคล ระหว่างเผ่า ระหว่างหมู่บ้าน ชุมชน ระหว่างเผ่าพันธุ์ ระหว่างชาติแล้วลามไปยังสงครามโลก เพราะอำนาจแห่งการเอาเปรียบและเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น
แต่เมื่อใด ณ ที่ใด สมัยใด การเอาเปรียบและความเห็นแก่ตัวลดลง ปริมาณการให้เพิ่มขึ้น สันติสุขก็มาเยือนทันทีตามปริมาณของการเอาเปรียบและเห็นแก่ตัวที่ลดลงจนหายไป เบื้องหลังการให้ ไม่ว่าจะให้วัตถุสิ่งของ ให้วิทยาการ ให้คำแนะนำ ให้แสงสว่าง ให้โอกาสและให้อภัย ล้วนมาจากความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อ เครื่องประดับใจอันสวยงามนี้ จะเปลี่ยนความร้อนเป็นความเย็น เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส และเปลี่ยนการรบราฆ่าฟันเป็นสันติภาพ ธรรมะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์ มนุษย์เปลี่ยนโฉมหน้าของสังคม การเมือง และโลกได้ เพียงแต่จะเดินตามการให้หรือการเอา ความเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ส่วนรวม ความชังหรือความรัก มนุษย์ย่อมนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ตนเองและสังคมได้เสมอ
หากอาตมาจะมองภาพชีวิตที่ผ่านมา 60 ปี ในฐานะที่เป็นพระภิกษุ ซึ่งรูปแบบชีวิตของพระภิกษุ ต้องอาศัยปัจจัย 4 คือ จีวร อาหารบิณฑบาต เสนาสนะ ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคมาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์บวชเป็นสามเณร เมื่อ อายุ 13 ขวบจนกระทั่งบัดนี้มีอายุครบ 60 ปีแล้ว ย่อมผ่านการรับจากการให้ของเพื่อนมนุษย์มานับไม่ถ้วน หากมองแบบย่อๆ ก็จะได้รับการให้มาจากพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ เป็นผู้ให้ชีวิต เมื่อให้ชีวิตมาแล้ว ให้ปัจจัย 4 คือ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การดูแลรักษายามป่วยไข้ อย่างพอเพียงจนชีวิตอยู่รอดปลอดภัย ให้การเลี้ยงดู ด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดให้ชีวิตเติบโตอย่างมีสุขภาพดี แข็งแรง ไม่อ่อนแอ ไม่ป่วยไม่ไข้ง่ายๆ แม่สร้างภูมิคุ้มกันจากโรคภัย สร้างความอบอุ่น และสร้างความมั่นใจให้ลูกทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วยการให้ดื่มนมจนลูกแข็งแรง
การที่แม่วางลูกไว้บนตักแม่ กอดลูกแนบไว้กับอก ให้ดื่มนม คือ การถ่ายทอดความรักจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ผ่านน้ำนมที่กลั่นมาจากใจ อ้อมกอดอันอบอุ่นแข็งแกร่งแสดงถึงการปกป้องลูกให้เติบโตอย่างปลอดภัย การที่ลูกได้มีโอกาสดื่มนมแม่อย่างพอเพียงในระยะเวลาหนึ่ง เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทั้งกายและใจในการดำรงชีวิตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นี่คือ การให้ที่มอบให้ด้วยความตั้งใจ ความเอาใจใส่ จากใจสู่ใจอย่างแท้จริง การสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตเริ่มขึ้นตั้งแต่น้ำนมหยดแรกที่หยดลงสู่ปากทารกน้อยที่ไขว่คว้าหาความรัก น้ำนมคือ สื่อความรักจากแม่บอกแก่ลูกว่า ความรักที่ลูกไขว่คว้าโหยหามาถึงลูกแล้ว กลืนความรักลงไปให้อิ่มหนำเถอะลูก
เวลาแม่ให้นมแก่ลูก แม่จะมีความสุข หยอกเย้าลูกไปด้วย แม่บางคนร้องเพลงกล่อมให้ลูกหลับไปในอ้อมแขน เมื่อคลายแขนออกจากการดื่มนม ลูกหลับอย่างมีความสุข อิ่ม อบอุ่น และผ่อนคลาย
เมื่อการให้น้ำนมอันเป็นปฐมบทแห่งการให้ จากนั้นการให้สิ่งต่างๆ ก็ทยอยมาอย่างไม่ขาดสาย เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นต้องเตรียมการอย่างดี ในครอบครัวที่ยากจน แม่จะนำเอาผ้าถุงที่เก่าที่สุดมาตัดเย็บ ซักให้สะอาดรองรับและห่มให้ลูกได้อบอุ่น ในครอบครัวที่ร่ำรวยพอมีพอใช้ ก็จะมีผ้าอ้อมผ้าอุ่นเสื้อกางเกงตัวน้อยไว้คอยรับลูกน้อยแขกแปลกหน้าที่มาเยือนครอบครัวอย่างพร้อมมูล
กาลเวลาผ่านไป ความรักที่พ่อแม่ปลูกไว้ตั้งแต่ทราบว่า ลูกเริ่มเข้าสู่ครรภ์ค่อยๆ เติบโตขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป ความรักอันวิเศษนี้ไม่เคยจางคลายตามกาลเวลาแต่จะเหนียวแน่นมากมายเมื่อเวลาผ่านไป
รักของใครจะแน่วแน่เท่าแม่รัก
ผูกโซ่รักคล้องใจไม่หลุดหาย
กาลเวลาผ่านไปรักไม่คลาย
รักไม่หน่าย รักคงมั่น จนวันตาย
การให้ความรัก คือ การให้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นแหล่งกำเนิดแห่งการดูแลทั้งปวงทั้งหลายที่พ่อแม่มีให้ลูก เสื้อที่ลูกสวมใส่แม้จะมีองค์ประกอบในการผลิตมากมาย แต่ทุกเส้นด้าย ล้วนผสมผสานถักทอด้วยใยรัก อาหารทุกคำที่ลูกรับจากการป้อนของแม่ ผสมผงแห่งความรักไว้ทุกเมล็ดข้าว ทุกคำแห่งอาหารที่ลูกรับประทานด้วยความสบาย บ้านที่ลูกได้อยู่อาศัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง การซื้อ หรือการเช่า ก็ล้วน มุง ปูลาด กั้นด้วยกำแพงแห่งความรักที่พร้อมจะปกปักรักษาให้ลูกอาศัยอย่างอบอุ่นและปลอดภัย
ยามป่วยไข้พ่อแม่พร้อมจะให้การรักษาเยียวยาอย่างใกล้ชิด ยิ่งกว่าพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมจะพยาบาลลูกเสมอ ยามพ่อแม่อาบน้ำ ดูแล ทำความสะอาดร่างกายให้ลูกน้อยวันแล้ววันเล่า ล้วนใส่ใจในทุกขั้นตอน แม่เป็นดุจเทพเจ้าผู้มีตาทิพย์ มองดูของสกปรกที่ไหลออกมาจากร่างกายของลูก คล้ายดอกไม้ที่หยิบฉวยจับต้องได้ด้วยความเต็มใจ ไม่เคยหน่ายหนี ดมกลิ่นที่ติดมากับสิ่งปฏิกูลได้ดั่งกลิ่นดอกไม้ แม่ทำได้เป็นเดือนเป็นปีไม่เคยหน่าย ปัสสาวะที่ไหลออกมาจากร่างกายโดยไม่จำกัดกาลเวลา ก็พร้อมจะเช็ดล้างให้ได้ตลอดเวลา กว่าท่านจะเลี้ยงจนเติบใหญ่ได้ผ่านการให้นับกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่หมด ไม่สิ้น การให้แค่ปฐมบทก็นับไม่หมดไม่สิ้นแล้ว ดั่งบทกวีที่ว่า
จะเอาโลกมาทำปากกา
จะเอานภามาแทนกระดาษ
เอาน้ำหมึกในมหาสมุทรวาด
ประกาศพระคุณไม่พอ
พระคุณของพ่อ พระคุณของแม่
เมื่อเติบใหญ่พ่อแม่ก็ต้องให้การศึกษาสารพัดวิชา ทั้งวิชาการเอาชีวิตรอดตามสัญชาตญาณและวิชาชีพที่พ่อแม่จะต้องจ่ายเงินทองในการแสวงหาความรู้จากสถาบันการศึกษา พ่อแม่หลายคนยอมอดทน อดออม อดอยาก เก็บหอมรอมริบเพื่อนำเงินไปจ่ายเพื่อการศึกษาของลูก นี่คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ ให้อนาคตที่สดใส สร้างหลักประกันชีวิตให้ลูกมีอาชีพที่มั่นคงเพื่อเลี้ยงชีพอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิต
เมื่อลูกต้องจากพ่อแม่ไปไกล ท่านก็ให้ความห่วงใย สมัยโบราณพ่อแม่ที่ห่วงลูกต้องเดินทางข้ามจังหวัด หรือข้ามประเทศไปเยี่ยมลูกที่จากบ้านไปศึกษาเล่าเรียน ความรักของพ่อแม่ไม่มีกำแพงขวางกั้นจริงๆ ปัจจุบันนี้อาจจะใช้เทคโนโลยีลดความห่วงใยด้วยการโทรศัพท์ไปหากันได้ง่าย แต่พอถึงวันสำคัญ เช่น วันปีใหม่ วันสงกรานต์ หรือเทศกาลสำคัญ ลูกได้มาอยู่ใกล้ๆ จะวิเศษที่สุด ได้รับประทานอาหารร่วมกัน ทำบุญร่วมกัน ได้คุยถึงอดีตของพ่อแม่แลกเปลี่ยนกับการพูดคุยถึงอนาคตของลูก บรรยากาศเช่นนี้ ถือเป็นรางวัลใหญ่ของพ่อแม่ที่ลูกมอบให้ด้วยความใกล้ชิดและชื่นใจ
คงจะเล่าถึงท่านผู้ให้ที่จะตอบแทนบุญคุณกันไม่หมดไม่สิ้นแค่นี้ก่อน ฟังเรื่องราวสั้นๆ เพียงแค่นี้ ถ้าจะถือตามมารยาทแห่งความอ่อนโยนที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาว่า ใครให้อะไร หรือ มีคุณูปการอะไรมากหรือน้อยก็ต้องขอบคุณ กว่าลูกจะโตอายุเพียงสิบขวบ จะขอบคุณ คุณพ่อ คุณแม่ หนึ่งหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ ไม่ต้องกล่าวถึงคุณูปการที่ท่านให้ตั้งแต่เกิดถึงหนุ่มสาวเฒ่าแก่ว่าจะมีพระคุณที่จะขอบคุณกันอย่างหาที่สุดมิได้เพียงใด เพราะท่านเป็นทั้งผู้ให้ชีวิต ให้ลมหายใจ ให้การเลี้ยงดู ให้ทุนทรัพย์ ให้การศึกษา ให้กำลังใจ ให้ทุกอย่างที่จะหามาให้ได้จนกลายเป็นทศนิยมไม่รู้จบ
ตอนที่ 2
ขอบคุณกัลยาณมิตร ผู้ให้ความอุปถัมภ์ เมื่ออาตมาออกจากอ้อมอกพ่อแม่เข้าสู่อ้อมแขนของครู ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรที่มีอุปการะต่อการเปิดตาปัญญาเพื่อเรียนรู้โลกกว้างขึ้นกว่าที่พ่อแม้ได้ให้ความรู้มาในฐานะครูคนแรก อาตมามีโอกาสเรียนในระบบโรงเรียนเพียงระยะสั้นๆ แต่ผ่านความช่วยเหลือเคี่ยวเข็ญเจียระไน ขัดเกลามากมาย เริ่มเข้าโรงเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านเขาแงน ที่นั่นมีครู 2 คนบ้าง 3 คนบ้าง คือ มีครูประจำการ 2 คนมีครูอัตราจ้างอีก 2 คน
นักเรียนต้องท่องชื่อคุณครูทุกวัน เริ่มต้นด้วย คุณครูปรีชา พรหมจรรย์ คุณครูประชุม นาควัจนะ คุณครูไพโรจน์ โสมสุวรรณ และคุณครูคนใหม่ที่เข้ามาประจำการตอนที่เรียนชั้นประถมปีที่ 4 คือ คุณครูมีจิต จำนามสกุลไม่ได้เพราะเป็นครูใหม่ ในจำนวนคุณครู 4 คนนี้ที่เอ่ยนาม เมื่อ คุณครูมีจิต และคุณครูปรีชาถึงแก่กรรม อาตมาได้มีโอกาสไปแสดงธรรมในงานบำเพ็ญกุศลศพของท่านทั้ง 2 นับเป็นบุญและเป็นเกียรติที่ได้ตอบแทนพระคุณคุณครูที่พร่ำสอนจนอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น
อาตมาเดินเข้าสู่โรงเรียนบ้านเขาแงนวันเดือนอะไรจำไม่ได้แล้วแต่จำพ.ศ.ได้ว่า พ.ศ. 2508 เนื่องจากพ่อแม่จำวันเดือนปีเกิดกันคลาดเคลื่อนอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ตอนที่ไปเรียนชั้นป. 1-4 นั้นทุกครั้งที่เขียนวันเดือนปีเกิดก็เขียนว่า เกิดวันที่ 1 มกราคม 2501 แต่พอจบชั้นป. 4 ต้องไปเรียนต่อที่โรงเรียนวัดประสาทนิกร อำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร พ่อไปคัดสำเนาทะเบียนบ้านและไปพบในสูติบัตรเขียนว่า เกิดวันที่ 2 มกราคม 2502 กลายเป็นเด็กที่เรียนเร็วกว่าปกติ 1 ปี
เมื่อจบชั้นประถมปีที่ 4 แล้วต้องถีบจักรยานจากบ้านที่ช่องเขาแงนไปเรียนหนังสือชั้นป.5-7 ที่โรงเรียนวัดประสาทนิกร โดยการเดินทางไปกลับประมาณ 10 กิโลเมตรทุกวัน รถจักรยานที่ถีบไปโรงเรียนเป็นจักรยานผู้ชายคันเก่าไม่มียี่ห้อ เมื่อหยุดเรียนวันเสาร์อาทิตย์จะต้องซ่อมแซม ทำความสะอาดโดยการถอดโซ่ออกมาล้างด้วยกับน้ำมันก๊าซ ใส่จารบีเข้าไปตรงฟันเฟืองเพื่อให้โซ่เคลื่อนตัวอย่างสะดวก เวลาถีบรถจะเบาขึ้นเพราะโซ่หมุนได้อย่างราบรื่นลื่นไหล
ก่อนไปโรงเรียนต้องตื่นขึ้นมาหุงข้าวรับประทานก่อนและคดข้าวห่อใบตองไปรับประทานที่โรงเรียน อาหารหลักคือไข่เป็ดทอด ไข่เป็ดต้ม เพราะเลี้ยงเป็ดไว้ 20 ตัวเก็บไข่ได้เพียงพอต่อการปรุงอาหารรับประทานในครัวเรือน เป็นการลดรายจ่ายได้เป็นอย่างดี ที่เหลือจากบริโภคในครัวเรือนและเป็นกับข้าวไปโรงเรียนแล้ว นำไปจำหน่ายฟองละ 50 สตางค์เป็นค่าขนมบ้าง เช่น จะกินซาลาเปาอาทิตย์ละครั้งโดยการเก็บเงินไว้วันละสลึง ซาลาเปาลูกละ 5 สลึง 5วันจะมีเงินพอเพียงต่อการซื้อซาลาเปา 1 ลูก ถ้าวันไหนหิวจัด เวลากลับบ้านจะกินก๋วยเตี๋ยวผัดราคาย่อมเยา ห่อละ 25 สตางค์ หรือ ห่อใหญ่ 50 สตางค์ วันเสาร์-อาทิตย์ถ้าเก็บเงินได้ 2 บาทต้องฉลองด้วยก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามละ 6 สลึงน้ำแข็งใส่น้ำชาอีกแก้วละ 50 สตางค์
เดินทางแบบนี้อยู่เป็นเวลา 3 ปี คุณครูที่จำชื่อได้ที่นับว่าเป็นกัลยาณมิตรที่ชี้ทิศชี้ทางชีวิตให้จริงๆ คือ คุณครูสุดใจ โสมขันเงิน เป็นคุณครูใหญ่ คุณครูรอย พิมพ์ใจ เป็นคุณครูประจำชั้นป.5 คุณครูประสิทธิ์ เป็นคุณครูประจำชั้นป.6 คุณครูชวน เป็นครูประจำชั้นป. 7 คุณครูประจำชั้นก็จะสอนแทบจะทุกวิชา หากวันไหนหรือชั่วโมงไหนขาด ก็เรียนกับครูใหญ่ ท่านสอนสนุกสนาน
คราวหนึ่งเพื่อนๆ ชวนกันตั้งวงดนตรี ชื่อ เดอะแบล็คด๊อก ตั้งกลุ่มร้องเพลงกันสนุกสนานตอนพักเที่ยง จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งคุณครูใหญ่ให้ไปเล่นงานเปิดอาคารเรียนวัดหาดสำราญ คุณครูใหญ่มอบให้เป็นโฆษก และ หัวหน้าวงดนตรี ก่อนจะไปเล่นดนตรี คุณครูใหญ่เรียกไปซ้อมใหญ่ในห้องก่อนไปทำการแสดงจริง ว่าจะปล่อยตัวนักร้องออกมาอย่างไร พอแสดงจบคุณครูเดินมาจับบ่าแล้วบอกว่า จรรยา เธอน่าจะเอาดีได้ในอนาคต ยังจำท่านได้ การเล่นดนตรีของพวกเราก็ประสบความสำเร็จด้วยดี ได้ทั้งเสียงปรบมือและพวงมาลัยผูกเงินใบละ 5 บาทและ 10 บาทติดมาด้วย นำความภูมิใจมาสู่โรงเรียนก่อนจะจบชั้นประถมปีที่ 7 ชีวิต 3 ปีที่เรียนที่โรงเรียนวัดประสาทนิกร ได้ความรู้ใหม่ๆ ที่นับว่าเป็นรากฐานแห่งการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย หากมีโอกาสจะเขียนเล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ขอยุติการบันทึกย่อๆ ไว้เพียงแค่นี้ก่อนพอเป็นข้อมูลสนับสนุนข้อคิดที่ว่า ชีวิตต้องผ่านกัลยาณมิตรอุปถัมภ์ค้ำจุนมาตลอดทาง จะขอบคุณกัลยาณมิตรผู้ชี้ทิศชี้ทางชีวิตสักเท่าไรก็ไม่หมดไม่สิ้น
ตอนที่ 3
เยาว์วัยที่แสนสนุกสนานยุติลงแค่นี้จากนั้นก็เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์หลังจากที่ออกจากโรงเรียนชั้นประถมปีที่ 7 ได้ไม่นาน แม้ว่าจะสอบเข้ามัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนสวนศรีวิทยา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรได้แล้ว แต่หัวใจที่ใฝ่การบวชร่ำร้องโหยหาจนต้องหนีโยมพ่อโยมแม่ไปอยู่วัด ไม่ยอมไปรายงานตัวที่โรงเรียนสวนศรีวิทยาที่สอบเข้าได้แล้ว เตรียมท่องคำขานนาคอยู่ไม่กี่วันก็ได้บวชพร้อมๆ กันกับนาคอื่นๆ ที่อยู่มาก่อนอีก 6 คน เมื่อมาอยู่วัดไม่ยอมกลับบ้านพ่อแม่ต้องยอมให้บวชตามความตั้งใจที่เดินหน้าแบบไม่ยอมถอยหลังไม่ว่าใครจะมาเจรจาอย่างไร จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 13 ปีวันที่ 22 เดือนเมษายน 2515 และเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2523 ณ พระอุโบสถวัดขันเงิน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร โดยมีพระราชญาณกวี เจ้าอาวาสวัดขันเงินและเจ้าคณะจังหวัดชุมพร เป็นพระอุปัชฌาย์ทั้งตอนที่บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
ชีวิตนักชบวชจากปี 2515 เป็นชีวิตที่อยู่ในการอุปถัมภ์บำรุงของพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง กัลยาณมิตรมิใช่มีเพียงครูอาจารย์ที่คอยให้ความรู้แนะนำพร่ำสอนฝึกฝนอบรมเท่านั้น แต่กัลยาณมิตรยังรวมถึงพุทธศาสนิกชนที่บรรจงตักอาหารลงไปในบาตรด้วยความรักแท้ใสบริสุทธิ์หลุดออกมาจากใจโดยตรง ข้าวทุกเมล็ดที่พุทธศาสนิกชนบรรจงใส่ลงในบาตรกลั่นมาจากความรักที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ฝนตกฟ้าร้องหนาวเหน็บแค่ไหน เมื่อไปบิณฑบาต พุทธศาสนิกชนผู้มีเมตตากรุณาไม่เคยปฏิเสธ เรื่องแบบนี้ถ้าไม่รักกันจริงๆ จะทำไม่ได้เลย
ชีวิตสมณเพศของอาตมาจาก 13-60 ปีด้วยความรัก อาจจะมีคนชังบ้าง มีคนรักบ้าง แต่ถ้าเทียบกับที่รัก ถือว่า เทียบกันไม่ได้ ทุกครั้งที่มีใครแสดงตนออกมาว่า เกลียดชังอย่างชัดเจน อาตมาก็จะแผ่เมตตาและอภัยเสมอ เพราะคิดว่า เราต้องเคยมีเวรต่อกันไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง เมื่อใครเกลียดเรา ก็ต้องมาเอาคืน รับไปเถิดฉันมอบให้แด่เธอทุกคน บางคนที่เคยชังแล้ว ชังต่อไปก็มี แต่บางคนกลับมาดีกันอีก เมื่อแรงกรรมผ่อนคลายก็มี จะต้องตั้งสติไว้เสมอว่า อย่าไปโกรธตอบแก่คนที่โกรธเรา หากยังละความโกรธยังไม่ได้ ก็เก็บไว้ภายในใจ อย่าไปยุแหย่ให้ใครต้องมาช่วยโกรธคนที่ชังเรา เพราะเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หากมีหนี้เวรหนี้กรรมต่อกัน จะได้ปล่อยปลดเลิกรากันไป อย่าได้ขยายสร้างกรรมให้กว้างออกไปสู่คนอื่น ขอให้กรรมที่มีต่อกันจงจบลงที่เราก็พอ เราไม่ต้องการเพื่อนไปลงนรกด้วยกัน หากจำเป็นจะต้องลงนรกด้วยความเผลอไผล ก็จะขอลงนรกเพียงคนเดียว แต่ถ้ายังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์จะไม่โกรธใคร จะไม่แค้นใครให้ใจหมองเศร้า หากจิตตกลงไปสู่ความโกรธ ต้องรีบตะเกียกตะกายออกมาให้เร็วที่สุดเหมือนคนเดินผิดพลาดพลัดตกลงในกองไฟ
วิธีถอนใจจากคนที่แสดงตนชัดเจน ว่าเกลียดชังที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำคือ ดึงใจออกมาจากคนที่เกลียดชัง มองไปยังคนที่เมตตากรุณา ได้ทำความดีกับเราให้มาก เช่น มีคนทำงานร่วมกัน 20 คน ทุกคนรักใคร่ทุ่มเทใจแห่งความกรุณาเหมือนกันหมด แต่จะมีใครชังสักคนหนึ่ง ต้องไม่ถือเอาเหตุนั้นมาล้มเลิกงานที่จะทำเพื่อประโยชน์สุขของคนจำนวนมาก โดยหมั่นคิดถึงใบหน้าของคนที่เมตตากรุณามาเป็นกำลังใจ เข้าทำนองที่ว่า อย่าให้รถที่ประสบอุบัติเหตุบนทางด่วนเพียงคันเดียวต้องทำให้รถเป็น 100 คันต้องติดยาวเหยียด รถคันไหนเกิดอุบัติเหตุต้องเก็บรถคันนั้นเข้าข้างทางโดยเร็วแล้วเดินทางต่อไปเพราะรถอีกจำนวนมากที่รอเคลื่อนตัวตาม
ในฐานะยังเป็นปุถุชน เป็นผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ ยังมีรัก ชัง โกรธ น้อยใจเหมือนคนทั่วไปยามที่เผลอไผลไม่มีความตื่นรู้ แต่เมื่อรู้ตัวต้องหยุดทันที แม้ความรู้สึกโกรธเกลียดเกิดขึ้นมา ก็ต้องพิจารณาปล่อยให้ผ่านไปไม่เก็บกักตุนเอาไว้ หรือ ปล่อยออกมาทำร้ายใครทางกายและวาจา นี้ คือผลของการปฏิบัติที่ทำได้และทำเป็นประจำ
หากขาดสติจนสุดวิสัยที่จะเก็บใจไว้ทัน ผลุนผลันหลุดไปทำร้ายใครบ้าง ต้องรีบนำมาทบทวนความผิดพลาดนั้นโดยด่วน ไม่เข้าข้างตัวเองว่า สิ่งที่พูดหรือคิดนั้นถูกต้อง มันต้องมีความผิดแน่ๆๆ ที่สำคัญต้องพร้อมจะแก้ไขทันท่วงที เปรียบเหมือนรถยนต์เสียจะขับต่อไปก็คงจะไม่ปลอดภัย ต้องแก้ไขซ่อมแซมทันทีทันใด
ชีวิตสมณเพศ เป็นชีวิตที่เติบโตขึ้นมาจากความรัก ไมตรี ความเอื้อเฟื้อ อาทรที่พุทธศาสนิกชนได้มอบให้ หากไม่สำรวมระวังใจชีวิตแบบนี้จะทำให้เหลิงได้ต้องหมั่นตรวจสอบตนเองเสมอว่า เป็นใครมาจากไหน กำลังทำอะไร ต้องไม่หยิ่ง ไม่ผยองพองขนแต่ประการใด รักมนุษย์ทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะรักหรือเกลียดเรา รักมนุษย์ทุกคนทั้งฝ่ายที่รักการให้และรักการเอา รักมนุษย์ทุกคนทั้งที่เห็นแก่ส่วนตัวและเห็นแก่ส่วนรวม ทุกคนล้วนเป็นผู้ให้ทั้งหมด แม้จะมิได้ให้วัตถุสิ่งของหรืออาหารสักทัพพี แต่ก็ให้บทเรียนได้เรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์โดยตรง โดยไม่ต้องลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดๆ
ไม่ควรพยายามแบ่งแยก หรือ สร้างเงื่อนไขว่า จะรักคนที่ทำพูดคิดอย่างนี้ จะเกลียดคนที่ทำพูดคิดเช่นนี้ แต่ควรรักโดยไร้เงื่อนไขปลอดภัยที่สุด เพราะความเมตตากรุณาไม่เคยเผาผลาญหรือทำร้ายใคร มีแต่ความเกลียดชังเท่านั้นที่เผาผลาญและทำร้ายผู้คนมานับไม่ถ้วน ถ้ายังระลึกได้ ยังรับความรู้สึกทางใจได้ว่า เมตตา มีรสชาติเป็นอย่างไร ความเกลียดชังเป็นอย่งไร อย่าพยายามเกลียดใคร หรือ บอกเล่าให้ใครเกลียดใครเลย หากเราจะต้องอยู่กับคนมักเกลียด ต้องปลงว่า เขามีกรรมเป็นของตนเมื่อแก้ไขไม่ได้ต้องให้อภัยและระวังภัยพร้อมกันไป เผื่อวันหนึ่งเขาอาจจะได้รับกระแสแห่งความรักพอเพียงแล้วกลับมาแบ่งรักให้ผู้อื่น จนความรักสถิตอยู่ในใจตลอดไปก็เป็นได้ อาจจะต้องฮัมเพลงว่า ยังคอย ยังคอย ยังคอยเธออยู่ทุกลมหายใจ คอยเธอกลับคืนมา มาเป็นคู่ใจเก็บความเมตตาไว้คงมั่น ความสุขนิรันดร์ก็จะตามมา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กัลยาณมิตร มีบทบาทในการตรัสรู้อย่างมาก เป็นคำตรัสที่ถูกต้องที่สุด เพราะเมื่อได้กัลยาณมิตรที่ดีซึ่งหมายถึงทั้งบุคคลและสถานที่ ที่ส่งเสริมจิตใจให้สงบก็จะพบธรรมเข้าถึงการตรัสรู้ได้ง่าย ในชีวิตของอาตมาแม้ยังไม่ตรัสรู้แต่ไม่ว่าจะเดินทางไปศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ไหน ล้วนได้พบกัลยาณมิตรที่มอบความเมตตากรุณาให้เสมอ ได้รับการศึกษาจากครูอาจารย์ด้วยความเมตตากรุณาในทุกขั้น ทุกชั้น ทุกตอน ทำให้มีความรู้ มีความสามารถมีปัจจัยต่างๆ สนับสนุนงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ราบรื่นสะดวกเสมอมา
เมื่อเดินทางมาอยู่วัดพุทธปัญญาอันเป็นสถานีสุดท้ายที่เดินทางมาจนถึงอายุครบ 60 ปี อาตมาก้าวเข้ามาวัดนี้ ในสภาพที่มีหนี้สินทั้งบ้านและที่ดิน เจ้าของที่ดินส่งบันทึกมาว่ากำลังจะยึดบ้านและที่ดินคืน แต่เมื่อได้ปรึกษาหารือพุทธศาสนิกชนและคนใจดีที่เห็นประโยชน์ร่วมกันถึงการมีวัดพุทธปัญญา จึงพบผู้ใจบุญและมีเมตตาหลายๆ คนเข้ามาบริจาคช่วยเหลือจนปลดเปลื้องหนี้สิน สิ้นสุดลงภายใน 2 ปี ซื้อที่ดินผืนเล็กๆ ผืนหนึ่งมาเป็นสมบัติของพุทธศาสนิกชนที่ทุกคนใช้งานร่วมกันเพื่อบำเพ็ญบุญกุศลและพัฒนาตนด้วยความภาคภูมิใจ
จนกระทั่งเมื่อเดือนธันวาคม 2561ได้ดำริที่จะซื้อที่ดินขยายวัดเพื่อให้พื้นที่ใช้งานของวัดกว้างขวางขึ้น จะปรับปรุงพื้นที่จัดสร้างเสนาสนะที่ชื่อว่า ภาวนาภิรตาราม อารามอันน่าร่มรื่นเป็นที่ภาวนา ทางวัดแจ้งข่าวให้ทราบเพียงเดือนกว่าๆ ก็มีผู้แสดงเจตนาจะช่วยเหลือกันมาอย่างมากมายเป็นที่น่าชื่นใจ หลายท่านโทรศัพท์เข้ามา บางคนก็มาบริจาคด้วยตนเอง งานต้อนรับปีใหม่ 2562 นี้จึงมีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญกันมากเป็นประวัติการณ์
ปรากฏการณ์นี้ก็คือ ปรากฏการณ์แห่งความเมตตา ของพุทธศานิกชนที่หลั่งไหลมาจากส่วนลึกของหัวใจ ดั่งพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ที่ว่า
อันความกรุณาปราณี
จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ
จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
พลังแห่งความเมตตานี้ใหญ่หลวงนัก กิจการงานพระพุทธศาสนาทั้งเรื่องการศึกษา ปฏิบัติและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดำเนินไปได้ก็ต้องอาศัยความกรุณาเมตตาอย่างยิ่ง แม้แต่รายการฟังธรรมและภาวนาที่วัดพุทธปัญญาจัดได้อย่างไม่เคยหยุดนี้ ยืนหยัดด้วยความเมตตากรุณาของพุทธศาสนิกชนทุกคน วัดพุทธปัญญามีผู้มาถวายภัตตาหารเพลครบสัปดาห์ละ 7 วันโดยไม่ต้องตั้งกองทุนจัดภัตตาหารถวายแก่พระภิกษุสามเณร ก็มาจากแรงแห่งความเมตตานี้เอง
อาตมาจึงต้องขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนทุกเรื่องทุกด้านไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
เหตุปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อาตมาได้รับความเมตตากรุณาจากท่านสาธุทุกคน ทุกหนทุกแห่ง ก็คือ การเข้าถึง พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เพราะพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก ได้ตรัสรู้พระธรรมอันประเสริฐที่นำผู้ปฏิบัติสู่ความเป็นมนุษย์ที่ดีและเข้าถึงความดับทุกข์ พระสงฆ์ทั้งพระอริยสงฆ์และสมมติสงฆ์ได้ช่วยกันสืบสานพุทธธรรมจากชนรุ่นหนึ่งสู่ชนรุ่นต่อๆ มาจนถึงชนรุ่นเรา ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมนำส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่ได้พบแสงแห่งพระธรรมนำสู่ความดีและความสุข
เพราะอาตมาได้เดินเข้าสู่พระธรรมวินัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ศึกษาพระธรรม ได้เดินตามแนวทางที่พระอริยสงฆ์และสมมติทั้งหลายได้เคยเดินสืบต่อกันมา ได้ใช้ชีวิตตามพระธรรมวินัย ห่างจากความชั่วทั้งปวง ได้เดินอยู่ในทางดี ได้ฝึกฝนตนเอง จนธรรมะให้ผลเป็นความสุขสงบเย็นตามสมควรแก่การปฏิบัติ ในฐานะพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมและสืบสานธรรมโดยตรงจึงได้รับความเมตตากรุณาและการสนับสนุนทุกด้านจากประชาชนทุกหนทุกแห่ง
ขอบคุณพระรัตนตรัยที่ให้ทาง ให้โอกาสแก่อาตมาได้ฝึกฝนกาย วาจาและใจ ได้เดินตามพุทธธรรมอย่างปลอดภัย ให้มีชีวิต ให้กำลังกาย ให้กำลังใจ ให้โอกาสบำเพ็ญบารมีและสร้างกุศลกรรม มีกำลังธรรมและกำลังสติปัญญาเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ผู้ใคร่ธรรมทั้งหลายให้ได้รับรู้รับทราบความอัศจรรย์แห่งพระธรรม พระคุณของพระรัตนตรัยเป็นอเนกอนันต์ต้องขอบคุณกันทุกวันจนกว่าชีวิตจะหาไม่
การเขียนบันทึกเมื่ออายุครบ 60 ปีสมมติว่าจบลงเพียงแค่นี้ บทสรุปของอาตมาก็คือ ชีวิตนี้ได้รับการดูแลจากพ่อแม่และท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายมากมายจริงๆ เป็นชีวิตที่เติบโตขึ้นมาและจะชราลงตามกาลเวลา ด้วยความเมตตากรุณาของมหาชนล้วนๆ สิ่งที่จะต้องปฏิบัติตอบแทนบุญคุณปลดเปลื้องหนี้ศักดิ์สิทธิ์ของท่านสาธุชนทั้งหลาย อันจะพึงกระทำได้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยการศึกษาพุทธธรรมอย่างล้ำลึก การฝึกฝนตนเองให้ประจักษ์แจ้งในธรรม เผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อให้พุทธธรรมสถิตสถาพรอยู่ ณ กาย วาจาและใจ แห่งท่านสาธุชนทั้งหลายตามหน้าที่ของพระสงฆ์ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า เธอทั้งหลาย จงจาริกไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก จงประกาศพรหมจรรย์งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางและงามในที่สุด ถึงพร้อมด้วยอรรถและพยัญชนะ เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตจะเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน สุดแล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะทำหน้าที่ทุกหน้าที่ที่มีอยู่ให้ดีที่สุดอย่างเต็มสติกำลัง เพื่อตอบแทนบุญคุณแก่ผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่มอบให้มาด้วยความเมตตากรุณาจนถึงวันนี้และจะมีอีกต่อๆ ไปจนตลอดชีวิต
ขอมอบบุญกุศลอันเกิดจากการบรรพชาอุปสมบทและกุศลกรรมทั้งหลายที่ปฏิบัติมาจงเป็นพลวปัจจัยให้ท่านผู้มีอุปการะคุณทั้งหลายได้มีความสุขสงบพบพร 4 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกที่ทุกกาลทุกท่านเทอญ
วันที่ 3 มกราคม 2562 เวลา 20.08 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ