เมื่อพูดถึงความรุนแรง คงไม่มีใครปรารถนา แต่มนุษย์ก็ยังคงใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาเสมอ เมื่อถึงจุดแตกหักมนุษย์ก็มักจะนำเอาความรุนแรงขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยความจำนน หากมองอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่สงครามครูเสด สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเย็น สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากชาติที่มีอานุภาพเหนือกว่า ที่ทำกับชาติที่มีอานุภาพต่ำกว่า สงครามแบ่งแยกดินแดน ที่มีกันแทบทุกมุมโลก เมื่อมนุษย์รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ไล่ล่าฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วฆ่ากันไปฆ่ากันมาจนหาจุดจบแทบจะไม่พบ กว่าการฆ่าจะยุติก็บาดเจ็บล้มตายกันมากมาย แต่ไม่เคยหลาบจำ
เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง การรบในพม่า มีขึ้นในหลายจุดด้วยเหตุผลต่างๆ กัน แต่มาบรรจบตรงที่รบกัน จากการรบราฆ่าฟันกันระหว่างบุคคล สุดท้ายก็กลายเป็นการรบกันระหว่างเชื้อชาติและศาสนา เข่นฆ่ากันจนลืมคิดว่าศาสนาของตนสอนว่าอย่างไร ทุกครั้งที่มีสงครามนอกจากจะมีคนบาดเจ็บล้มตายมากแล้ว การอพยพย้ายถิ่นฐานไปหาความสงบเพื่อชีวิตที่ดีกว่าก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ในประเทศไทยเรา สงครามแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน ดำเนินมาร่วมร้อยปีไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง สาเหตุของการรบไม่ว่าจะสลับซับซ้อนเพียงใด แต่ผลสุดท้ายก็คือ การเข่นฆ่าและความตาย คนที่อยู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็รู้ดีว่า ความรุนแรงนั้นทำลายขวัญและกำลังใจของคนที่อยู่ในท้องถิ่นและคนที่มาเยือนอย่างมากมาย คนเก่งคนดีลงไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กันมากมาย ก่อนจะลงไปต่างก็มีวิธีการเด็ดๆ ทั้งนั้น ที่จะยุติความรุนแรงและดับไฟ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ การรบราฆ่าฟันยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีวี่แววว่าจะยุติลงเมื่อใด
ประเทศไทยเคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นมุสลิมมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาแล้ว เคยมีหัวหน้าคณะรัฐประหารที่เป็นชาวมุสลิมที่มีอำนาจสูงสุดมาแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่า จะคุยเรื่องแบ่งแยกดินแดนกันรู้เรื่อง กลายเป็นว่า ฝ่ายที่พยายามเจรจรก็เจรจากันไป ฝ่ายที่ชอบฆ่าก็ฆ่ากันไปโดยไม่มีเยื่อใยว่าจะเป็นใคร ไม่หยุดให้สงบเลย ที่ยากเย็นก็คือ ไม่รู้ว่าคนที่ชอบวางระเบิดคือใคร คนที่ฆ่าคนไม่เลือกว่า เป็นนักบวช ครู ผู้หญิง เด็ก ทหาร ตำรวจ คือใคร ไม่มีใครเคยพบเคยเห็น ข่าวการสังหารพระระดับเจ้าคณะอำเภอที่จังหวัดนราธิวาส ผ่านไปหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวว่า ใคร คือคนเหนี่ยวไกปืนฆ่าพระที่อุทิศตนเพื่อสันติภาพ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายยังไม่มีใครจะบอกได้ว่า ใครฆ่าพระ นี่ก็คือ ความรุนแรงที่ยังคงดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะสร่างซาลงแต่อย่างใด
ยังไม่นับความรุนแรงกลางกรุงที่เกิดจากความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน ความจริงเรื่องการเมือง น่าจะเป็นเรื่องของการใช้สติปัญญา ช่วยกันแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน แต่การเมืองกลายเป็นเรื่องการช่วงชิงอำนาจด้วยความเห็นแก่ตัวจนลืมคิดถึงความถูกผิดใดๆ การทะเลาะเบาะแว้งที่น่าจะจบลงในสภา กลายเป็นว่าต้องลงสู้กันบนถนนอยู่ร่ำไป ใครๆ ก็ไม่อยากจะให้เรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นแต่ก็หนีไม่พ้นเสียที
เหตุการณ์สะท้านโลก 2 จุดในเวลาที่ไม่ห่างกัน นั่นก็คือ ข่าวการที่ชาวคริสต์สังหารหมู่ชาวมุสลิมในประเทศนิวซีแลนด์ เสียชีวิตและบาดเจ็บรวมแล้วเป็นร้อย เมื่อไม่กี่วันมานี้กลุ่มไอซิสก็ได้ก่อการสังหารชาวคริสต์ในศรีลังการ่วมสองร้อยคน เมื่อสังหารแล้ว เปิดเผยตนตัวตนออกมาว่า เป็นการล้างแค้นให้แก่ชาวมุสลิมที่ถูกสังหารในนิวซีแลนด์
ความรุนแรงเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่มนุษย์ยังคงใช้แก้ปัญหากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากจะลองหาสาเหตุเชิงพุทธจะพบว่า ความรุนแรงทั้งหลายมาจากอกุศลมูลทั้งนั้น คือ โลภะ โทสะ และโมหะ อกุศลมูล 3 ตัวนี้จริงๆ ที่อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายและสงครามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การแสวงหาเมืองขึ้นไม่ว่า การแสวงหาดินแดน ทรัพยากรธรรมชาติหรือเศรษฐกิจ ล้วนเป็นเรื่องโลภะทั้งสิ้น การทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพราะขวางทางตอบสนองโลภะ คือ โทสะ การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมทั้งหลายทั้งปวงมาจากโมหะ คือ ลุ่มหลงอยู่กับประโยชน์ส่วนตนจนไม่เคยมีมโนสำนึกว่า มนุษย์ทั้งหลายล้วนรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน จึงห้ำหั่นเข่นฆ่าเหมือนผักปลา
พระพุทธเจ้าตรัสปลุกมโนสำนึกมนุษย์ไว้ว่า “เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด สัตว์ทั้งหลายก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น” รู้อย่างนี้แล้ว ไม่ลงมือฆ่าเอง ไม่สั่งให้คนอื่นฆ่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาไม่ควรตายเพื่อใคร และไม่ต้องทำใครให้ตาย ควรอยู่เป็นเพื่อนกันทั้งโลก พระพุทธเจ้าตรัสไว้แท้จริงนักว่า “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด”
พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางสุขว่า “ความเบียดเบียนกันเป็นทุกข์ในโลก ความไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”
หากเมื่อไรมนุษย์เห็นโทษของการใช้ความรุนแรง และเห็นประโยชน์ของความเมตตา แล้วหันหน้าเข้าหากันช่วยเหลือเกื้อกูลแก่กัน มนุษย์จะพลิกโฉมหน้าโลกมนุษย์ที่แสนจะเร่าร้อนให้สงบร่มเย็นเป็นสุขได้ไม่มากก็น้อย หยุดเบียดเบียนเมื่อไร ความสงบสุขเกิดขึ้นทันที การสร้างสงบสุขให้แก่โลกใบนี้จึงเป็นหน้าที่ของทุกคน ขอความรุนแรงทั้งหลายจงมลายสิ้นไป ขอความสงบสุขสดใสจงบังเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกโดยพลัน
ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ
วันที่ 28 เมษายน 2562 เวลา 20.47 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย